Context of ประเทศฮังการี

ฮังการี (อังกฤษ: Hungary, ฮังการี: Magyarország [ˈmɒɟɒrorsaːɡ] ( ฟังเสียง) มอดยอโรรฺซาก) เป็นประเทศในภูมิภาคยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตทิศเหนือจรดประเทศสโลวาเกีย ทิศตะวันออกจรดประเทศโรมาเนียและประเทศยูเครน ทิศใต้จรดประเทศเซอร์เบียและประเทศโครเอเชีย ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดประเทศสโลวีเนียและทิศตะวันตกจรดประเทศออสเตรีย ชื่อประเทศฮังการีในภาษาฮังการี แปลว่า "ประเทศของชาวม็อจยอร์" (Country of the Magyars) ประเทศฮังการีมีพื้นที่ 93,030 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีอาณาเขตเพียงร้อยละ 28 ของพื้นที่ราชอาณาจักรฮังการีเดิมก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยพื้นที่ปัจจุบันนับเป็นอันดับที่ 110 ของโลก โดยมีลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบในที่ราบพันโนเนีย และมีประชากร 9,919,128 คน นับเป็นอันดับที่ 90 ของโลก ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวม็อจยอร์ ใช้ภาษาฮังการีเป็นภาษาราชการซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาทางการไม่กี่ภาษาของสหภาพยุโรป ที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดเป็นกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียน ร่วมกั...อ่านต่อ

ฮังการี (อังกฤษ: Hungary, ฮังการี: Magyarország [ˈmɒɟɒrorsaːɡ] ( ฟังเสียง) มอดยอโรรฺซาก) เป็นประเทศในภูมิภาคยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตทิศเหนือจรดประเทศสโลวาเกีย ทิศตะวันออกจรดประเทศโรมาเนียและประเทศยูเครน ทิศใต้จรดประเทศเซอร์เบียและประเทศโครเอเชีย ทิศตะวันตกเฉียงใต้จรดประเทศสโลวีเนียและทิศตะวันตกจรดประเทศออสเตรีย ชื่อประเทศฮังการีในภาษาฮังการี แปลว่า "ประเทศของชาวม็อจยอร์" (Country of the Magyars) ประเทศฮังการีมีพื้นที่ 93,030 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีอาณาเขตเพียงร้อยละ 28 ของพื้นที่ราชอาณาจักรฮังการีเดิมก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยพื้นที่ปัจจุบันนับเป็นอันดับที่ 110 ของโลก โดยมีลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบในที่ราบพันโนเนีย และมีประชากร 9,919,128 คน นับเป็นอันดับที่ 90 ของโลก ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวม็อจยอร์ ใช้ภาษาฮังการีเป็นภาษาราชการซึ่งเป็นหนึ่งในภาษาทางการไม่กี่ภาษาของสหภาพยุโรป ที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดเป็นกลุ่มภาษาอินโด-ยูโรเปียน ร่วมกับภาษาเอสโตเนีย ภาษาฟินแลนด์ และภาษามอลตา เมืองที่ใหญ่ที่สุดและเป็นเมืองหลวงของประเทศคือบูดาเปสต์ เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ แดแบร็ตแซ็น แซแก็ด มิชโกลส์ เปช และ เยอร์

ดินแดนของฮังการีในปัจจุบันมีผู้เข้ามาอาศัยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายศตวรรษ รวมถึงชาวเคลต์, โรมัน, เจอร์แมนิก, ฮัน, สลาฟตะวันตก และอาวาร์ รากฐานของรัฐฮังการีได้รับการสถาปนาขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 โดยอาร์ปาด เจ้าชายหัวหน้าเผ่าฮังการี หลังจากการพิชิตที่ราบพันโนเนีย พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 เหลนของเขาได้ขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 1000 พระองค์เปลี่ยนอาณาจักรของพระองค์เป็นอาณาจักรคริสเตียน เมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ 12 ฮังการีกลายเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค และเข้าสู่ยุครุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและการเมืองในคริสต์ศตวรรษที่ 15 หลังจากยุทธการที่โมฮัชจ์ใน ค.ศ. 1526 บางส่วนของฮังการีถูกยึดครองโดยจักรวรรดิออตโตมัน (ค.ศ. 1541–1699) ต่อมาก็อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 และต่อมาได้ร่วมกับออสเตรียก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีซึ่งเป็นมหาอำนาจของยุโรป

จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีล่มสลายหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และสนธิสัญญาทรียานงได้กำหนดเขตแดนของฮังการีตามที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ส่งผลให้สูญเสียดินแดนร้อยละ 71, ประชากรร้อยละ 58 และกลุ่มชาติพันธุ์ฮังการีร้อยละ 32 หลังจากสมัยระหว่างสงครามที่วุ่นวาย ฮังการีเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยได้รับความเสียหายมีผู้ล้มตายจำนวนมาก ฮังการีกลายเป็นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียตซึ่งมีส่วนทำให้เกิดการสถาปนาสาธารณรัฐสังคมนิยมซึ่งดำรงอยู่ถึงสี่ทศวรรษ (ค.ศ. 1949–1989) ประเทศนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในระดับสากลอันเป็นผลมาจากการปฏิวัติใน ค.ศ. 1956 และการเปิดพรมแดนด้านที่ติดกับออสเตรียใน ค.ศ. 1989 ซึ่งเร่งการล่มสลายของกลุ่มตะวันออก และในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1989 ฮังการีได้กลายเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยระบบรัฐสภา

ในคริสต์ศตวรรษที่ 21 ฮังการีเป็นประเทศอำนาจปานกลาง และมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกอันดับ 57 จากการจัดอันดับราคาตลาดตามผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และมีเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดตามภาวะเสมอภาคของอำนาจซื้อเป็นอันดับที่ 58 จาก 191 ประเทศ ซึ่งวัดโดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในฐานะผู้ดำเนินการที่สำคัญในภาคอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีต่าง ๆ ฮังการีเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดในโลกเป็นอันดับที่ 35 และผู้นำเข้าสินค้ารายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 34 ฮังการีเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีรายได้สูงพร้อมกับมาตรฐานการครองชีพที่สูงมาก มีระบบหลักประกันสังคมและหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า รวมถึงการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน ฮังการีมีผลการดำเนินงานที่ดีในระดับสากล โดยติดอันดับที่ 20 ในด้านคุณภาพชีวิต, อันดับที่ 24 ในดัชนีประเทศที่ดี, อันดับที่ 28 ของดัชนีการพัฒนามนุษย์ซึ่งปรับตัวเลขความไม่เท่าเทียมกันในสังคมแล้ว, อันดับที่ 32 ในดัชนีความก้าวหน้าทางสังคม, อันดับที่ 33 ในดัชนีนวัตกรรมระดับโลก และติดอันดับประเทศที่ปลอดภัยที่สุดเป็นอันดับที่ 15 ของโลก

ประเทศฮังการีเข้าร่วมสหภาพยุโรปใน ค.ศ. 2004 และเป็นส่วนหนึ่งของเขตเชงเกนตั้งแต่ ค.ศ. 2007 ฮังการีเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ องค์การการค้าโลก ธนาคารโลก ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย สภายุโรป กลุ่มวิแชกราด และอื่น ๆ ฮังการีเป็นที่รู้จักกันดีจากประวัติศาสตร์เชิงวัฒนธรรมอันยาวนาน โดยมีส่วนสำคัญในด้านศิลปะ ดนตรี วรรณคดี กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ฮังการีเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวในยุโรป โดยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 24.5 ล้านคนใน ค.ศ. 2019 และฮังการียังเป็นที่ตั้งของระบบถ้ำบ่อน้ำร้อนที่ใหญ่ที่สุดและทะเลสาบน้ำร้อนที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก ทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลาง และทุ่งหญ้าธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป

More about ประเทศฮังการี

Basic information
Population, Area & Driving side
  • Population 9599744
  • Area 93036
  • Driving side right
ประวัติ
  • แคว้นพันโนเนีย ก่อนปี ค.ศ. 895
     
    ซากปรักหักพังของเมืองอาควินคุม (Aquincum) เมืองโบราณที่ตั้งโดยจักรวรรดิโรมันเมื่อ 2 พันปีก่อน ปัจจุบันอยู่ที่เขตโอบูดอ (Óbuda) ของกรุงบูดาเปสต์

    ก่อนการพิชิตที่ราบพันโนเนียของชาวฮังการี จักรวรรดิโรมันได้ทำการพิชิตดินแดนทางตะวันตกของแม่น้ำดานูบ ระหว่าง 35 ถึง 9 ปีก่อนคริสตกาล โดยตั้งแต่ 9 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงปลายศตวรรษที่ 4 แคว้นพันโนเนีย (Pannonia) ทางตะวันตกของที่ราบพันโนเนีย มีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน โดยมีการตั้งเมืองขึ้นในที่ราบพันโนเนียหลายเมือง เช่น เมืองซาวาเรีย (Savaria ปัจจุบันคือ เมืองโซมบ็อตแฮลย์ Szombathely ทางตะวันตกของฮังการี) และเมืองอาควินคุม (Aquincum ปัจจุบันคือ เมืองโอบูดอ Óbuda ฝั่งตะวันตกตอนเหนือในอาณาเขตของกรุงบูดาเปสต์) หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกจากปัญหาภายในและการรุกรานของอนารยชน ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 มีชนเผ่าจากยุโรปตะวันออกจำนวนมากเข้ามาในยุโรปกลางโดยเริ่มต้นด้วยกลุ่มชาวฮัน ได้ทำการโจมตียึดครองยุโรปตะวันออก ตั้งเป็นอาณาจักรฮันนิก ผู้ปกครองที่มีอำนาจที่สุดของอาณาจักรฮันนิก คือ อัตติลาเดอะฮัน (ค.ศ. 434–453) ซึ่งต่อมาได้มีการสลายตัวไป หลังจากการสลายตัวของอาณาจักรฮันนิก ชาวเกปิดส์ (Gepids) ซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมันดั้งเดิมทางตะวันออกซึ่งถูกพวกฮันส์ยึดครองได้ก่อตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้นในที่ราบพันโนเนีย กลุ่มอื่น ๆ ที่มาถึงแอ่งคาร์เพเทียนในช่วงการอพยพ ได้แก่ ชาวก็อธ แวนดัล ลอมบาร์ด และ ชาวสลาฟ ในช่วงทศวรรษที่ 560 ชาวอาวาร์ได้ก่อตั้งจักรวรรดิข่านอาวาร์ ซึ่งเป็นรัฐที่รักษาอำนาจสูงสุดในภูมิภาคนี้มานานกว่าสองศตวรรษ ชาวแฟรงค์ภายใต้กษัตริย์ชาร์เลอมาญเอาชนะเผ่าอาวาร์ลงได้ในสมรภูมิรบ ช่วงทศวรรษที่ 790 ทำให้เผ่าอาวาร์ถอนตัวออกจากยุโรปกลาง ในช่วงกลางศตวรรษที่ 9 อาณาเขตของทะเลสาบบอลอโตนได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็น  อาณาจักรชายแดนพันโนเนียของอาณาจักรแฟรงค์ (Frankish March of Pannonia) ส่วนด้านตะวันออกของแม่น้ำดานูบถูกยึดครองโดยจักรวรรดิบัลแกเรียแห่งแรก โดยพวกบัลแกเรียเข้ายึดการปกครองของชนเผ่าสลาฟในท้องถิ่นและเผ่าอาวาร์ที่หลงเหลืออยู่

    การบุกทวีปยุโรป และการพิชิตที่ราบพันโนเนียของชาวฮังการี ค.ศ. 895 - ค.ศ. 972
     
    การอพยพของชาวม็อจยอร์จากเทืองเขายูราล มาที่แลเวเดีย แอแต็ลเกิซ และ แอ่งคาร์เพเทีย
     
    เส้นทางการโจมตีเมืองในทวีปยุโรป และ การพิชิตที่ราบพันโนเนีย โดยหัวหน้าเผ่าอาร์พาด

    ชาวฮังการี หรือ ชาวม็อจยอร์ ที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การนำของหัวหน้าเผ่า นามว่า อาร์พาด (Árpád) ผู้สืบเชื้อสายตามประเพณีของอัตติลาเดอะฮัน (Attila) ได้ทำการพิชิตที่ราบพันโนเนีย (Honfoglalás ฮงโฟ้กลอลาช) ตั้งรกรากอยู่ในที่ราบพันโนเนีย เริ่มตั้งแต่ปี 895 ในรูปแบบสหพันธ์ชนเผ่าที่เป็นปึกแผ่น (Törzsszövetség)

    ตามทฤษฎี Finno-Ugrian เผ่าฮังการีมีต้นกำเนิดมาจากประชากรที่พูดภาษาฟินโน-อูราลิก (Finnugor nyelv)โบราณซึ่งเดิมเคยอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าระหว่างแม่น้ำโวลก้าและเทือกเขาอูราลตอนใต้ ในแถบไซบีเรีย (ปัจจุบันอยู่ในประเทศรัสเซีย) โดยในปี ค.ศ. 830 ชาวม็อจยอร์ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่แถบตอนเหนือของทะเลดำ

    ก่อนชาวม็อจยอร์จะอพยพเข้ามาในในยุโรปตะวันออก ชาวม็อจยอร์มีวิถีชีวิตคล้ายกับชนเร่ร่อนในที่ราบยูเรเชียเช่นกลุ่มชนเตอร์กิกและชาวฮันที่เคยพิชิตที่ราบพันโนเนีย ทำให้ชาวมอจยอร์และชนยุโรปร่วมสมัยเข้าใจผิดว่าชาวม็อจยอร์สืบเชี้ยสายมาจากชาวฮัน ซึ่งช่วยเพิ่มความหวาดกลัวต่อกลุ่มคนเร่ร่อนในหมู่ประเทศที่ชาวม็อจยอร์กำลังบุกโจมตี ในพื้นที่รอบๆที่ราบพันโนเนียในยุโรป ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของชาวฮันและชาวม็อจยอร์ได้อยู่มานานหลายศตวรรต โดยมีหลักฐานปรากฏว่าชาวม็อจยอร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าราชวงศ์อารปาด ซึ่งปกครองฮังการีในฐานะเจ้าชาย (Grand Prince of the Hungarians, Nagyfejedelem) และต่อมาในฐานะกษัตริย์ (King of the Hungarians, Kiraly) สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากอัตติลาเดอะฮัน (Attila) ตั้งแต่คริสต์ศตวรรตที่ 13 (Gesta Hungarorum, c. 1200) จนถึงศตวรรตที่ 19 (Himnusz) และในปัจจุบัน ชื่อผู้ชาย "Atilla" (อ็อตติลลอ ในภาษาฮังกาเรียน) ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ชาวฮังกาเรียน

    ราชรัฐฮังการี (Principality of Hungary, Magyar Nagyfejedelemség) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 895 ประมาณ 50 ปีหลังจากการแบ่งจักรวรรดิแคโรลิงเกียนตามสนธิสัญญาแวร์ดุนในปี ค.ศ. 843 ก่อนการรวมอาณาจักรแองโกล - แซกซอน ในขั้นต้นราชรัฐฮังการี (หรือที่เรียกว่า "Western Tourkia" ในแหล่งข้อมูลกรีกยุคกลาง) เป็นรัฐที่สร้างขึ้นโดยเผ่าเร่ร่อน มีการปกครองที่มีประสิทธิภาพและมีอำนาจทางทหารที่สูง ทำให้ชาวฮังการีประสบความสำเร็จในการรบอย่างดุเดือดโดยชาวฮังการีทำการบุกเมืองในยุโรปตั้งแต่กรุงคอนสแตนติโนเปิลทางตะวันออก ไปจนถึง แถบคาบสมุทรสเปนในปัจจุบัน ชาวฮังการีเอาชนะกองทัพจักรวรรดิแฟรงกิชตะวันออกที่สำคัญไม่น้อยกว่าสามกองทัพ ระหว่างปี ค.ศ. 907 ถึง 910 แต่ก็ได้หยุดการรุกรานเกือบทั้งหมด หลังความพ่ายแพ้ของกองทัพฮังการีในสมรภูมิเลชเฟลด์ในปี ค.ศ. 955 และทำการตั้งถิ่นฐานในที่ราบพันโนเนีย ล้อมรอบไปด้วยภูเขาคาร์เพเทียในแอ่งคาร์เพเทียน

    ยุคของราชวงศ์อาร์พาด ค.ศ. 972-ค.ศ. 1308
     
    รูปปั้นพระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี (I. Szent István király)

    พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี หรือ กษัตริย์เซนต์สตีเฟน (I. István király) กษัตริย์องค์แรกของฮังการี เปลี่ยนให้เผ่าฮังการีมานับถือศาสนาคริสต์ และ สถานปนาตนเองเป็นกษัตร์ย์ (király) ของฮังการี

    ปี ค.ศ. 972 เป็นปีที่แกรนด์พรินซ์ (ฮังการี: fejedelem) เกซอ (Géza fejedelem) แห่งราชวงศ์อาร์พาด เริ่มเปลี่ยนศาสนาของเผ่าฮังการีให้เข้ากับยุโรปตะวันตกที่นับถือศาสนาคริสต์ เซนต์สตีเฟน (พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี) บุตรชายคนแรกของเขากลายเป็นกษัตริย์องค์แรกของฮังการี หลังเอาชนะหัวหน้าเผ่าโคปปาญ (Koppány vezér) ลุงของอิชน์วานผู้นับถือลัทธิเพเกิน (Pogány) ฮังการีซึ่งอ้างสิทธิ์ในบัลลังก์ด้วย

    ภายใต้พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการี ประเทศฮังการีได้รับการยอมรับว่าเป็นอาณาจักรคริสเตียน หลังเข้าพบกับสมเด็จพระสันตะปาปาซิลเวสเตอร์ที่ 2 พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการีได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์คนแรกของชาวม็อจยอร์ในปี ค.ศ. 1000 โดยพระสันตะปาปา ซึ่งได้เปลี่ยนสถานะของรัฐม็อจยอร์ จากราชรัฐที่ปกครองโดยเจ้าชาย เป็นราชอาณาจักรคาทอลิคที่มีกษัตริย์ และนอกจากการสถาปนากษัตริย์แล้ว ชาวม็อจยอร์ยังได้รับมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูง (ซึ่งอาจรวมถึง มงกุฎเซนต์สตีเฟน ซึ่งปัจจุบันเก็บไว้ในรัฐสภาฮังการี) จากพระสันตะปาปา

    ใน ค.ศ. 1006 พระเจ้าอิชต์วานที่ 1 แห่งฮังการีได้รวมอำนาจและเริ่มการปฏิรูปอย่างกว้างขวางเพื่อเปลี่ยนฮังการีให้เป็นรัฐศักดินาแบบตะวันตก ประเทศฮังการีเปลี่ยนมาใช้ภาษาละติน และ จนถึงปลายปี ค.ศ. 1844 ภาษาละตินยังคงเป็นภาษาราชการของฮังการี ในช่วงเวลานี้ฮังการีเริ่มกลายเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจในยุโรปตะวันออก

     
    รูปภาพพระเจ้าลาสโล่ที่ 1 แห่งฮังการี (I. Szent László király)

    ลาสโล่ที่ 1 (I. László király) ขยายพรมแดนของฮังการีไปจนสุดเขตทรานซิลเวเนียและบุกโครเอเชียในปี ค.ศ. 1091 การบุกโครเอเชียสิ้นสุดลงในสมรภูมิภูเขากะวอซด์ (Battle of Gvozd Mountain) ในปี ค.ศ. 1097 และเป็นสหภาพส่วนบุคคลของโครเอเชียและฮังการีในปี 1102 ซึ่งปกครองโดย กษัตริย์คาลมานแห่งฮังการี (หรือ คาลมานผู้รักการอ่าน "Könyves Kálmán") กษัตริย์ที่ทรงอำนาจและมั่งคั่งที่สุดของราชวงศ์อาร์พาด คือ เบลอที่ 3 (III. Béla király) ซึ่งใช้จ่ายด้วยแร่เงินบริสุทธิ์ 23 ตันต่อปี ซึ่งมากกว่าการใช้จ่ายของกษัตริย์ฝรั่งเศส (ประมาณ 17 ตัน) และเป็นสองเท่าของรายวงศ์อังกฤษ

    กษัตริย์แอนดรูที่ 2 (II. András király) ได้ออกตราสาร Diploma Andreanum ซึ่งรับรองสิทธิพิเศษของเขตอยู่อาศัยของนิคมชาวเยอรมันแซ็กซันในเขตทรานซิลเวเนีย ถือเป็นกฎหมายเอกราชฉบับแรกของโลก และเป็นผู้นำสงครามครูเสดครั้งที่ห้าไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในปี ค.ศ. 1217 โดยตั้งกองทัพหลวงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามครูเสด ตราสารกระทิงทอง ปี ค.ศ. 1222 ของเขาเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกในภาคพื้นทวีปยุโรป ซึ่งทำให้เหล่าขุนนางเริ่มแสดงความคับข้องใจแก่แอนดรูว์ที่ 2 ซึ่งเป็นรากฐานที่นำไปสู่สถาบันรัฐสภา (parlamentum publicum)

     
    การปิดล้อมเมืองแอสเตอร์โกม ปี ค.ศ. 1241 โดยโกลเดนฮอร์ด

    ในปีค. ศ. 1241–1242 อาณาจักรได้รับความเสียหายครั้งใหญ่จากการรุกรานของชาวมองโกล (โกลเดนฮอร์ด) มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากร 2 ล้านคนในฮังการีในขณะนั้นเสียชีวิตจากการรุกราน กษัตริย์เบลอที่ 4 (IV. Béla király) ปล่อยให้ชาวคูมัน (Cuman) และชาวยาสสิก (Jassic) เข้ามาในประเทศซึ่งกำลังหลบหนีชาวมองโกล และต่อมาชนชาติเหล่านี้ก็ได้ถูกกลืนเข้าไปเป็นประชากรฮังการี โดยหลังจากมองโกลล่าถอย กษัตริย์เบลอได้สั่งให้สร้างปราสาทหินและป้อมปราการหลายร้อยแห่งเพื่อป้องกันการรุกรานของชาวมองโกลครั้งที่สองที่อาจเกิดขึ้นได้ ชาวมองโกลกลับมาที่ฮังการีในปี ค.ศ. 1285 แต่ระบบปราสาทหินที่สร้างขึ้นใหม่และยุทธวิธีใหม่ (โดยใช้อัศวินติดอาวุธในสัดส่วนที่สูงกว่า) หยุดยั้งพวกมองโกลไว้ได้ ทำให้กองทัพมองโกลที่รุกรานพ่ายแพ้ ใกล้กับเมืองแป็ชต์ (ปัจจุบันคือบูดาเปสต์ฝั่งขวา) โดยกองทัพของลาสโล่ที่ 4 แห่งฮังการี (IV. László király) การรุกรานในภายหลังทัพมองโกลถูกขับไล่อย่างรวดเร็ว ชาวมองโกลสูญเสียกำลังรุกรานไปมาก และไม่สามารถผนวกฮังการีไว้ในดินแดนของจักรวรรดิมองโกล

    หลังจากชาวคูมันเข้ามาลี้ภัยในฮังการี ชาวคูมันได้ช่วยฮังการีรบกับมองโกล และได้รับดินแดนทางตอนใต้ของฮังการีเป็นการตอบแทน พื้นที่เหล่านี้แบ่งได้เป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ Cumania (Kunság), Greater Cumania (Nagykunság), และ Little Cumania (Kiskunság) ดินแดนเหล่านี้ยังคงทิ้งชื่อไว้ในชื่อสถานที่ในประเทศฮังการีปัจจุบัน เช่นจังหวัด Bács-Kiskun และ Kiskunhalas ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น Little Cumania (Kiskunság)

    ถึงแม้ความสัมพันธ์คูมัน-ม็อจยอร์จะไม่ได้ราบรื่นตลอดหลังจากการให้ดินแดน แต่ชาวคูมันถูกมองว่าเป็นกองกำลังสำคัญสำหรับฮังการีในการต่อต้านมองโกล ในยามที่ไร้สงคราม การเข้ามาตั้งรกรากของชาวคูมัน ทำให้ชนชั้นสูงและประชาชนชาวม็อจยอร์ไม่พอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังพระเจ้าลาซโลว์ที่ 4 แห่งฮังการี (Ladislaus IV) ซึ่งเป็นลูกครึ่งคูมันทางมารดา ได้มีปัญหากับคริสตจักร และโดนคว่ำบาทโดยฟิลิป บิชอปแห่งเฟอร์โม เนื่องจากไม่สามารถหยุดวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนและการประกอบพิธีศาสนาแพเกินของชาวคูมันในฮังการีได้ หลังจากถูกคว่ำบาตร พระเจ้าลาซโลว์ที่ 4 เริ่มสูญสิ้นอำนาจ ทำให้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตต้องเร่ร่อนไปทั่วราชอาณาจักร และสุดท้ายก็โดนปลงพระชนม์โดยชาวคูมัน 3 คน ณ เมือง Körösszeg (ปัจจุบันคือ Toboliu ประเทศโรมาเนีย) ในที่สุด

    เมืองหลวงหลักของราชวงศ์อาร์พาดมีอยู่ 2 แห่ง คือ แอสแตร์โกม (Esztergom) และ เซแก็ชแฟเฮร์วาร์ (Székesfehérvár)

    ราชวงศ์อาร์พาด (Árpád-ház) หมดสิ้นทายาทฝ่ายชายในปี ค.ศ. 1301 ทำให้กษัตริย์ชาร์ลส์ โรแบร์ต (Károly Róbert) ทายาทสายเลือดอาร์พาดทางฝ่ายหญิง ซึ่งเป็นลูกของกษัตริย์เมืองนาโปลี แห่งคาบสมุทรอิตาลี (ราชวงศ์อ็องฌู) ขึ้นเป็นกษัตริย์ฮังการีแทนในปีนั้นเอง

    ยุคของราชวงศ์อ็องฌูและฮุนยอดิ ค.ศ. 1308-ค.ศ. 1526
     
    กษัตริย์คาโรย โรแบร์ตแห่งฮังการี กษัตริย์องค์แรกของฮังการีที่ไม่ได้มากจากราชวงศ์อาร์พาด

    หลังจากผู้ปกครองคนสุดท้ายของราชวงศ์อาร์พาดเสียชีวิตในปี 1301 การต่อสู้แย่งชิงอำนาจทำให้ประเทศอ่อนแอลงเป็นหลายปี ในที่สุดราชวงศ์อ็องฌู (Anjou-ház) ซึ่งเป็นญาติของราชวงศ์อาร์พาดก็ได้รับอำนาจตลอดทั้งศตวรรษที่ 14 กษัตริย์ชาร์ลส์ โรแบรต์ (Charles Robert) กษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์อ็องฌู ได้รวมศูนย์อำนาจ ในรัชสมัยลูกชายของเขา หลุยส์ที่ 1 แห่งฮังการีประเทศฮังการีมีเขตแดนที่กว้างที่ใหญ่ที่สุด เลยไปถึงเขตประเทศโปแลนด์ ตะวันออกของประเทศออสเตรีย และบางส่วนของแคว้นโบฮีเมียในปัจจุบัน มีรัฐบริวารหลายร้อยรัฐอยู่ใต้ราชอำนาจของประเทศฮังการี หนึ่งในเมืองศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดของกษัตริย์ราชวงศ์อ็องฌู (ถัดจากเมืองเซแก็ชแฟเฮร์วาร์และเมืองบูดา) คือเมืองวิแชกราด (Visegrád) ในศตวรรษที่ 15 ราชอาณาจักรฮังการีเป็นมหาอำนาจที่สำคัญในยุโรป ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิซีกิสมุนท์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Luxemburgi Zsigmond)

     
    ยาโนช ฮุนยอดิ (Hunyadi János) บิดาของกษัตริย์มาชยาช ฮุนยอดิ

    ในตอนต้นของศตวรรษที่ 15 เนื่องจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วของจักรวรรดิออตโตมันโดยสุลต่านตุรกี จึงมีการต่อสู้เกิดขึ้นบ่อยขึ้นที่ทางภาคใต้ของฮังการี ในปี ค.ศ. 1456 แม่ทัพยาโนช ฮุนยอดิ (Hunyadi János) แห่งตระกูลฮุนยอดิ (แคว้นฮุนยอด, ปัจจุบันคือ เทศมณฑลฮุนเนโดรา ประเทศโรมาเนีย) กลายเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการทหารที่เก่งที่สุดในยุโรปที่ยุทธการการปิดล้อมเมืองนานโดร์แฟเฮร์วาร์ (Nándorfehérvár ปัจจุบันคือ กรุงเบลเกรด, ประเทศเซอร์เบีย) และ หยุดการพยายามพิชิตฮังการีของชาวตุรกีเป็นเวลา 100 ปี (ทุกวันนี้คริสตจักรหลายแห่งในโลก ใช้ระฆังด้านทิศใต้ในการระลึกถึงการสู้รบของชาวยุโรปที่เมืองนานโดร์แฟเฮร์วาร์)

    มาทยาช ฮุนยอดิ (Hunyadi Mátyás หรือ มัทธีอัส คอร์วินุส Matthias Corvinus) ลูกชายคนเล็กของยาโนช ฮุนยอดิ ได้รับเลือกให้เป็นกษัตริย์ในปี ค.ศ. 1458 และปกครองจนถึงปี ค.ศ. 1490 ทำให้หลังจากการสูญพันธุ์ของราชวงศ์อาร์พาด มาทยาช ฮุนยอดิ เป็นกษัตริย์ของฮังการีองค์แรก รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นหนึ่งในยุครุ่งโรจน์ที่สุดของชาวฮังการี ทรงเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งและเฉลียวฉลาด

     
    ภาพวาดกษัตริย์มาทยาช ฮุนยอดิ (Mátyás király)
     
    แผนที่การยึดครองใน สงครามของกษัตริย์แมเธียส คอร์นิวุส แห่งฮังการี (ค.ศ. 1458-1490)
     
    ปราสาทคอร์วิน (Corvin castle) หรือ ปราสาทวอยดอฮุนยอดิ (Vajdahunyadi vár) หรือ ปราสาทฮุนเน่โดอาร่า (Hunedoara castle) สร้างขึ้นในรัชสมัยของกษัตริย์มาชยาช ในเมืองวอยดอฮุนยอด หรือ Hunedoara, ประเทศโรมาเนียในปัจจุบัน

    ในรัชสมัยของกษัตริย์มาทยาช ฮุนยอดิ ประเทศฮังการีได้มีพัฒนาการทางวัฒนธรรมที่เจริญที่สุด ศูนย์กลางหลักของประเทศกลายเป็นเมืองบูดา พร้อมด้วยราชสำนักยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาที่มีชื่อเสียงของกษัตริย์แมเธียส ฮังการีเป็นประเทศแรกที่ได้รับวัฒนธรรมเรเนซองส์นอกประเทศอิตาลีในยุคนี้ ยุคนี้ฮังการีส่งออกโลหะมีค่า เช่น ทองแดง เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์จากสัตว์

    มีตำนานพื้นบ้านที่บอกไว้ว่า กษัตริย์มาทยาชปลอมตัวเป็นคนธรรมดาเพื่อไปดูความเป็นอยู่ของประชาชน และ ดูแลคนยากจน

    กษัตริย์แมทเธียส คอร์วินุสได้ปกป้องพรมแดนด้านตะวันออกจากจักรวรรดิออตโตมัน และได้โจมตีดินแตนทางด้านตะวันตก ด้วยกองทัพของพระองค์ที่มีชื่อว่า "กองทัพดำ (Fekete Sereg)" ไกลจนถึงแคว้นโบฮีเมีย และ กรุงเวียนนา รวมถึงป้องกันการรุกรานจากพวกออตโตมันในทางตะวันออกได้ (ยุคนี้คือยุคเดียวกันกับวลาด ดรากูลา ซึ่งเป็นหนึ่งในด่านหน้าในการป้องกันการรุกรานของออตโตมันในวาลาเคียและทรานซิลเวเนียของฮังการี)

     
    สงครามชิงบัลลังก์หลังการสวรรคตของกษัตริย์มาทยาช (Mátyás király) ระหว่าง ค.ศ. 1490 - 1494

    กษัตริย์มาทยาช สวรรคตโดยไร้ซึ่งทายาทผู้ชอบธรรม และเกิดศึกการแย่งชิงบัลลังก์โดยลูกชายนอกสมรสของมาทยาช ชื่อว่า ยาโนช ฮุนยอดิ (János Hunyadi) และกษัตริย์โปแลนด์ที่เคยทำสงครามกับมาชยาชที่โบฮีเมีย ชื่อว่า อูลาสโล่ที่ 2 ซึ่งเป็นฝ่ายชนะสงครามชิงบัลลังก์ บัลลังก์แห่งฮังการีได้รับการสืบทอดโดย พระเจ้าววาดือสวัฟที่ 2 ยากีลโลแห่งโปแลนด์ หรือ อูลาสโล่ที่ 2 (II. Úlászló király) กษัตริย์แห่งราชวงศ์ยากีลโล (ค.ศ. 1490-1516) ซึ่งทำให้ราชสำนักฮังการีเกิดความอ่อนแอ และ เกิดความสั่นคลอนทางอำนาจภายในราชอาณาจักร

    ในปี ค.ศ. 1514 ภายใต้การนำทัพของ โดจอ เจิร์จย์ (Dózsa György) ขุนนางทรานซิลเวเนียผู้สูงศักดิ์ ได้รวมเหล่าไพร่จากทรานซิลเวเนียประมาณ 40,000 คน และอื่น ๆ จากทั่วประเทศ บุกเข้ายึดเมืองต่าง ๆ เพื่อยุติการกดขี่ของเหล่าขุนนางของกษัตริย์อูลาสโล่ที่ 2 จากทรานซิลเวเนีย การจลาจลถูกยับยั้งอย่างไร้ความปราณีโดยขุนนาง และ โดจอ เจิร์จย์ถูกประหารชีวิตโดยการนั่งบนบัลลังก์ร้อนและสวมมงกุฎร้อน เพื่อเย้ยหยันความพยายามที่จะตั้งตัวเองเป็นกษัตริย์ และ บังคับให้ผู้สมรู้ร่วมคิดกินเนื้อร้อนของโดจอ เจิร์จย์ เหตุการณ์ในครั้งนี้เรียกว่า "สงครามไพร่ฮังการี (magyar parasztháború)" และทำให้ฮังการีที่เสถียรภาพต่ำอยู่แล้ว เกิดการแบ่งฝักฝ่าย และ เป็นสาเหตุที่ทำให้ชาวฮังการีไม่สามารถรวมกันต่อสู้ออตโตมันได้เหมือนสมัยกษัตริย์มาทยาช

    ท้ายที่สุด ประเทศฮังการีเกือบทั้งหมดได้ตกไปอยู่ในการครอบครองของจักรวรรดิออตโตมัน หลังจากสงครามออตโตมัน ที่ฮังการีกับออตโตมันได้ทำการรบมานานกว่า 150 ปี

    ในยุคนี้ เมืองหลวงของราชอาณาจักรฮังการี คือ บูดอ แตแมชวาร์ วิแชกราด และ เวียนนา (ภายใต้การยึดครองของกษัตริย์แมทเธียส คอร์วินุสเป็นระยะเวลาชั่วคราว)

    ยุคสงครามออตโตมัน ค.ศ. 1526 - 1699
     
    ภาพวาดยุทธการที่โมฮาช (Mohácsi csata) โดยโมร์ ตาน (Than Mór)

    ในตอนต้นของคริสต์ทศวรรษ 1520 จักรวรรดิออตโตมานได้โจมตีป้อมปราการชายแดนฮังการีทางตอนใต้อย่างต่อเนื่อง หลังจากสงครามกับชาวฮังการีและรัฐอื่น ๆ ราว 150 ปี การล่มสลายของเมืองนานโดร์แฟเฮร์วาร์ (Nándorfehérvár) (หรือ กรุงเบลเกรด ประเทศเซอร์เบียในปัจจุบัน) ซึ่งเป็นประตูสำคัญทางใต้ของอาณาจักรฮังการีในยุคกลาง เป็นปัจจัยใหญ่ที่ทำให้ทัพจักรวรรดิออตโตมันเคลื่อนทัพสู่ที่ราบพันโนเนียได้ การโจมตีเมืองนานโดร์แฟเฮร์วาร์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม ค.ศ. 1521 ตามมาด้วยการโจมตีพื้นที่ด้านในของประเทศ จักรวรรดิออตโตมันได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดเหนือกองทัพฮังการีในยุทธการที่โมฮาช ในปี ค.ศ. 1526 ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 2 แห่งฮังการี สิ้นพระชนม์ขณะหลบหนี ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายทางการเมืองนั้น ขุนนางฮังการีที่แตกแยกได้เลือกกษัตริย์สองพระองค์ให้ปกครองราชอาณาจักรฮังการีพร้อมกัน คือ พระเจ้ายาโนชที่ 1 แห่งฮังการี (John Zápolya) และ จักรพรรดิแฟร์ดีนันท์ที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Ferdinand I) แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค

     
    มัสยิดปาชา กาซิม ในเมืองเป็ช ประเทศฮังการี สร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ในช่วงการพิชิตราชอาณาจักรฮังการีของจักรวรรดิออตโตมัน

    ทัพของจักรวรรดิออตโตมันทำการโจมตีจักรวรรดิโรมันอันศักดิสิทธ์อย่างต่อเนื่อง โดยทำการปิดล้อมกรุงเวียนนาในปี ค.ศ. 1529 แต่ไม่สามารถยึดได้สำเร็จ หลังการยึดครองกรุงบูดาโดยชาวเติร์กในปี ค.ศ. 1541 ฮังการีได้ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนและยังคงอยู่จนถึงสิ้นศตวรรษที่ 17 ทางตะวันตกเฉียงเหนือถูกผนวกโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค ซึ่งปกครองในฐานะกษัตริย์แห่งฮังการี เรียกส่วนนี้ว่า ราชอาณาจักรฮังการี (Magyar királyság) เมืองหลวงอยู่ที่เมืองโปโจญ (Pozsony ปัจจุบันคือ กรุงบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย) แผ่นดินส่วนตะวันออกของราชอาณาจักรกลายเป็นเอกราชในฐานะราชรัฐทรานซิลเวเนีย (Erdélyi fejedelemség) ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซาโปยอ (Zápolya) และกษัตริย์องค์อื่น ๆ จากการเลือกสรร รวมไปถึงโดยจักรวรรดิออตโตมัน และต่อมาโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค

     
    แผนที่ฮังการีในยุคนี้ แบ่งได้เป็นสามส่วนคือ 1) ราชอาณาจักรฮังการีทางตอนเหนือ 2) ราชรัฐทรานซิลเวเนียทางตะวันออก และ 3) ส่วนที่ถูกครองโดยจักรวรรดิออตโตมัน

    พื้นที่ศูนย์กลางที่เหลืออยู่รวมถึงเมืองหลวงบูดาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ ปาชาลิกแห่งบูดา (Pashalik of Buda) เป็นพื้นที่ใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน (Törög hódoltság) ทหารออตโตมัน 17,000-19,000 คน ประจำการอยู่ในป้อมปราการออตโตมันในดินแดนของฮังการี โดยเป็นชาวเติร์กออร์โธดอกซ์และชาวมุสลิมบอลข่านสลาฟ มากกว่าชาวตุรกี นอกจากนั้นยังมีเจ้าหน้าที่จากกลุ่มชนสลาฟออร์ธอด็อกซ์ใต้ที่ทำหน้าที่เป็น ทหารราบอาคินยิ (akinji) และกองกำลังอื่น ๆ ที่มีไว้สำหรับการปล้นสะดมในดินแดนของฮังการีในปัจจุบัน[1] ในปี ค.ศ. 1686 กองทัพของโฮลีลีก (Holy League) ซึ่งมีทหารกว่า 74,000 คนจากชาติต่าง ๆ ได้ยึดคืนกรุงบูดาจากออตโตมันเติร์ก หลังจากความพ่ายแพ้อย่างย่อยยับของออตโตมานในอีกไม่กี่ปีต่อมา ราชอาณาจักรฮังการีทั้งหมดก็ถูกปลดออกจากการปกครองของออตโตมันในปี ค.ศ. 1718 การบุกเข้าไปในฮังการีครั้งสุดท้ายโดยข้าราชบริพารชาวเติร์กตาตาร์จากไครเมียเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1717

    หลังพ้นจากการครอบครองของจักรวรรดิออตโตมัน จักรวรรดิออสเตรียของราชวงศ์ฮาร์พบวร์ก ได้ทำการยึดครอง และ ปกครองอาณาเขตทั้งหมดของราชอาณาจักรฮังการี ราชวงศ์ฮาร์พบวร์กได้ทำการปฏิรูปศาสนาและการปกครองในอาณาเขตราชอาณาจักรฮังการี ในศตวรรษที่ 17 ทำให้อาณาจักรส่วนใหญ่หันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แทนที่นิกายโปรแตสแตนท์ องค์ประกอบทางชาติพันธุ์ของฮังการีได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพื้นฐานอันเป็นผลมาจากสงครามที่ยืดเยื้อกับจักรวรรดิออตโตมัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้รับความเสียหาย การเติบโตของประชากรถูกทำให้ชงัก และเมืองขนาดเล็กจำนวนมาก ถูกทำลายราบคาบ รัฐบาลออสเตรียภายใต้จักรวรรดิออสเตรีย ได้ทำการตั้งถิ่นฐานชาวเซิร์บและชาวสลาฟอื่น ๆ ไว้ทางตอนใต้ที่ประชากรถูกกำจัดเกือบหมด และ ตั้งรกรากชาวเยอรมัน (เรียกว่า ดานูบสวาเบียน) ในหลายพื้นที่ แต่ชาวฮังการีไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งถิ่นฐานหรือตั้งถิ่นฐานใหม่ทางตอนใต้ของที่ราบฮังการีใหญ่ คงไว้เฉพาะตอนกลางและตอนเหนือเท่านั้น[2]

    ฮังการีภายใต้จักรวรรดิออสเตรีย ค.ศ. 1669 - ค.ศ. 1867 สงครามอิสรภาพของราโกตซี ค.ศ. 1703 - 1711
     
    ภาพวาดของจอร์จ ฟิลลิป รูเกินดาส แสดงการต่อสู้บนหลังม้าของกองทัพคุรุซของฮังการี และ กองทัพทหารม้าจักรวรรดิออสเตรีย

    ระหว่างปี 1703 ถึงปี 1711 ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออสเตรีย มีการลุกฮือครั้งใหญ่ที่นำโดยเจ้าชายราโกตซี แฟแร็นตส์ที่ 2 ซึ่งหลังจากการอ่อนกำลังลงของราชวงศ์ฮาพส์บวร์ก จากการต่อสู้ภายใน (สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน) ทำให้ในปี ค.ศ. 1707 ณ สภาไดเอตแห่งโอโน็ต (Diet of Ónod) ราโกตซีได้เข้ามามีอำนาจชั่วคราวในฐานะเจ้าชายปกครองฮังการีในช่วงสงคราม แต่ปฏิเสธการขึ้นเป็นกษัตริย์ฮังการี และกลายเป็นสงครามเพื่อปลดแอกจากราชวงศ์ฮาร์พบวร์ก เรียกว่า สงครามอิสรภาพของราโกตซี โดยมีการรวมตัวเป็นกองทัพต่อต้านราชวงศ์ฮาพส์บวร์กโดยชาวฮังการี เรียกว่า กองทัพคุรุตซ์ (Kuruc) แม้ว่ากองทัพคุรุตซ์จะเข้ายึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้ แต่แพ้การสู้รบหลักที่แทร็นเชน (Trencsén) (ปัจจุบันคือเมือนเตรนซีน ประเทศสโลวาเกีย) ซึ่งส่งผลให้ใน ค.ศ. 1708 มา กองกำลังคุรุตซ์ ได้ทำการจำนน เนื่องจากการความพ่ายแพ้ต่อออสเตรียและขวัญกำลังใจที่ตกต่ำ ในทางกฎหมาย สงครามอิสรภาพจบลงในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1711 ด้วยสนธิสัญญาซ็อตมาร์ (Treaty of Szatmár)

     
    แฟแร็นซ์ ราโกตซี ที่ 2 ภาพวาดโดย Ádám Mányoki

    ในช่วงระหว่างและหลังจากสงครามนโปเลียน สภาไดเอ็ทของฮังการีไม่ได้มีการจัดประชุมกันมาหลายทศวรรษ ในช่วงทศวรรษที่ 1820 จักรพรรดิแห่งออสเตรียถูกบังคับให้จัดประชุมสภาไดเอ็ท ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคปฏิรูป (1825–1848, ฮังการี: reformkor) เคานต์ อิชต์วาน เซแช็นยี (Count István Széchenyi) หนึ่งในรัฐบุรุษที่โดดเด่นที่สุดของประเทศฮังการี ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงฮังการีให้ทันสมัย การรณรงค์ของเขานั้นทำให้เกิดการบูรณะรัฐสภาฮังการีขี้นใหม่ในปี ค.ศ. 1825 และการริ่เริ่มสร้างสิ่งต่าง ๆ เช่น สะพานโซ่ (Lánchíd) และการทำให้แม่น้ำดานูบสามารถใช้เรือผ่านได้ หรือ การก่อตั้งสถาบันวิทยาศาตร์ฮังการี

    ในช่วงเวลานี้ได้มีการกำเนิดพรรคเสรีนิยมเกิดขึ้นและมุ่งเน้นไปที่นโยบายเพื่อชนชั้นล่าง ลอโย็ช โค็ชชูต (Kossuth Lajos) นักเขียนข่าวที่มีชื่อเสียงในเวลานั้น กลายเป็นผู้นำของสภาล่างในรัฐสภา การเปลี่ยนแปลงมุ่งเน้นไปที่ความทันสมัย แม้ว่าราชวงศ์ฮาพส์บวร์กจะทำการขัดขวางกฎหมายเสรีนิยมที่สำคัญทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสิทธิพลเมือง การเมือง และ การปฏิรูปเศรษฐกิจ อีกทั้งยังมีการคุมขังนักปฏิรูปหลายคน เช่น ลอโย็ช โค็ชชูต (Kossuth Lajos) และ มิฮาย ตานชิช (Táncsics Mihály) โดยทางการ เนื่องจากการพยายามปฏิรูประบอบการเมืองการปกครองใหม่

    การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1848 - 1849
     
    กองทัพฮังการียึดปราสาทบูดาจากจักรพรรดิออสเตรียกลับคืนมา ภาพวาดโดย ต็อน โมร์ (Than Mór)
     
    เคานต์ ลอโยช บ็อททยานี แห่ง เนแม็ตอูยวาร์ (gróf németújvári Batthyány Lajos) นายกรัฐมนตรีคนแรกของฮังการี ภาพวาดโดย Barabás Miklós

    การปฏิวัติในปี 1848 คือการปฏิวัติที่ปะทุขึ้นในจักรวรรดิออสเตรีย เมื่อวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1848 การปฏิวัติปะทุขึ้นในเมือง Pest ภายใต้การนำของคนหนุ่มสาวในเดือนมีนาคม (รวมทั้ง Sándor Petőfi และ Mór Jókai) ข้อเรียกร้องที่สำคัญที่สุดของประเทศถูกกำหนดไว้ใน Tizenkét pont ซึ่งพิมพ์และเผยแพร่โดยหลีกเลี่ยงการเซ็นเซอร์ของรัฐออสเตรีย (หนังสือ หนังสือพิมพ์ และสิ่งพิมพ์ทั้งหมดสามารถตีพิมพ์ได้ในเวลานี้ต้องได้รับอนุญาตจากทางการ) ภายใต้แรงกดดันของการปฏิวัติ รัฐบาลฮังการีที่รับผิดชอบกลุ่มแรก ได้รับการแต่งตั้งภายใต้การนำของเคานต์ลอโยช บอททยานี (Gróf Battyány Lajos) ระบบทาสติดที่ดินถูกยกเลิก ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1848 ศาลเวียนนาได้เปิดฉากโจมตีรัฐบาลฮังการีด้วยอาวุธ นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามอิสรภาพ ประชาชนถูกระดมกำลังภายใต้การนำของลอโย็ช โค็ชชูต โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศก็มีส่วนร่วมในการต่อสู้โดยไม่คำนึงถึงสัญชาติของพวกเขา เช่น ชาวโครเอเชีย ชาวโรมาเนีย และชนชาติอื่น ๆ ด้วย โดยผู้นำกองทัพเป็นตัวแทนของประเทศต่าง ๆ

     
    การประหารชีวิต 13 แม่ทัพ ณ เมืองออร็อด (Arad) ผลงานของโตร์มอ ยาโนช (Thorma János)

    ภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1849 ฮังการีได้รับอิสรภาพจากการกดขี่ของออสเตรีย ด้วยความสำเร็จทางทหาร รัฐสภาจึงประกาศเอกราช และการถอดถอนราชวงศ์ฮับส์บวร์กออกจากการเป็นผู้ปกครองฮังการี จักรพรรดิออสเตรียจึงขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย ในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1849 ทหารรัสเซีย 200,000 นายเดินทัพเข้าฮังการี เอาชนะกองทหารฮังการีที่สู้รบสามครั้ง ความต่อเนื่องของสงครามอิสรภาพกลายเป็นความสิ้นหวัง ดังนั้น นายพลออร์ตูร์ เกอร์แกย์ (Görgey Artúr) ผู้ชนะการต่อสู้หลายครั้ง จึงวางอาวุธของเขาอย่างไม่มีเงื่อนไขที่วิลากอส (Világos, Romania) เพื่อหลีกเลี่ยงการนองเลือดต่อไป หลังจากวางอาวุธ การตอบโต้อย่างนองเลือดก็เริ่มต้นขึ้น นักโทษหลายพันคนถูกคุมขังโดยราชวงศ์ฮับส์บูร์ก จำนวนการประหารชีวิตประมาณร้อยราย เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1849 ณ เมืองออร็อด (Arad ปัจจุบันอยู่ในประเทศโรมาเนีย) นายพล 13 นายถูกประหารชีวิตพร้อมกัน เพื่อเป็นการเตือนและให้การ: ชาวฮังการี, เซิร์บ, เยอรมัน และชาติอื่น ๆ ที่ร่วมกันสู้เพื่ออิสรภาพ ในวันเดียวกันนั้น นายกรัฐมนตรีลอโยช บอททยานี (Batthyány Lajos) ถูกประหารชีวิตโดยการยิงเป้าที่เมือง Pest ราชวงศ์ฮับส์บูร์กรวมประเทศฮังการีเข้ากับกับออสเตรีย และตั้งแต่นั้นมาจากประเทศราชของออสเตรีย ฮังการีก็กลายเป็นจังหวัดของจักรวรรดิออสเตรีย และถูกปกครองโดยกองกำลังทหารออสเตรีย (แต่เปลี่ยนเป็นการปกครองแบบพลเรือนเมื่อเวลาผ่านไป) และ ภาษาราชการมีเพียงภาษาเยอรมันภาษาเดียว

    จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1867-ค.ศ. 1914) การประนีประนอม ค.ศ. 1867
     
    แฟแร็นซ์ แดอาค (Deák Ferenc) ผู้เป็นแกนนำในการประนีประนอมของฮังการีและออสเตรีย เพื่อก่อตั้งจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี

    หลังจากการล่มสลายของสงครามอิสรภาพ ชาวออสเตรียได้จัดการสงบเรียบร้อยในฮังการีผ่านการจัดกองทหารรักษาการณ์และการบริหารดินแดนแบบใหม่ ภาษาในการศึกษาและการบริหารกลายเป็นภาษาเยอรมัน ประชาชนไม่ได้มีส่วนในกิจการของรัฐ ไม่เข้ารับตำแหน่ง แต่หลังจากกองทัพออสเตรียพ่ายแพ้ในสงครามออสเตรีย-ปรัสเซียในปี ค.ศ. 1866 ทำให้จักรวรรดิออสเตรียเสียอำนาจที่มีเหมือนแต่เดิม ทั้งด้านกำลังทหาร และ การเงิน

    ราชวงศ์ฮับส์บวร์กจึงสนใจที่จะคืนดีกับชาวฮังการี การเจรจาประนีประนอมมีแกนนำสำคัญคือ แฟแร็นซ์ แดอาค (Deák Ferenc) ฝ่ายฮังการี และ จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟ ฝ่ายจักรวรรดิออสเตรีย ให้มั่นใจและรับรองต่อระบอบการปกครองของพระองค์ ในที่สุด ชาวฮังการีก็ยอมรับพระองค์เป็นประมุขในฐานะสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งฮังการี โดยฮังการีได้ก่อตั้งรัฐสภาเป็นของตนเอง ณ กรุงบูดาเปสต์

     
    จักรพรรดิฟรานซ์โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย-ฮังการี

    การประนีประนอมของออสเตรียและฮังการี ในปี ค.ศ. 1867 (kiegyezés) ทำให้มีการก่อตั้งราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการี (Osztrák-Magyar Monarchia) ผู้ปกครองของรัฐใหม่คือ ราชวงศ์ฮับส์บวร์ก และกิจการของรัฐบางส่วน (การต่างประเทศ การทหาร และการเงินบางส่วน) ได้รับการจัดการร่วมกันโดยประเทศสมาชิกทั้งสอง ฮังการีถูกบังคับให้มีส่วนสำคัญในการชำระหนี้ต่างประเทศของออสเตรีย การประนีประนอมเป็นประโยชน์ต่อฮังการี แม้ว่าจะถูกบังคับให้เป็นสหพันธรัฐ แต่ก็ได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ฮับส์บูร์กว่าเป็นรัฐอิสระ เศรษฐกิจฮังการีเริ่มพัฒนาอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่สงบสุขหลังจากการประนีประนอมของทั้งสองชนชาติ ฮังการีขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเกษตรกรรม และการผลิตเมล็ดพืช ขุนนางเจ้าของที่ดินปรับปรุงฟาร์มของพวกเขาให้ทันสมัย ​​ใช้เครื่องจักร และตั้งฟาร์ม รวมถึงการผลิตก็พัฒนาขึ้นเช่นกัน เป็นผลมาจากนโยบายอุตสาหกรรมของออสเตรีย อุตสาหกรรมการเกษตรส่วนใหญ่ (การสี การกลั่น การผลิตน้ำตาล ฯลฯ) เพิ่มขึ้นอย่างมากในฮังการี การพัฒนาโครงข่ายรถไฟมีการพัฒนาอย่างมาก ทำให้สามารถนำผลผลิตทางการเกษตรออกสู่ตลาดได้ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ฮังการีมีความก้าวหน้าอย่างมากทางอารยธรรม กฎหมายอยู่ในอำนาจของรัฐสภาฮังการี เช่น การจ่ายภาษี อุตสาหกรรม สาธารณะ การบริหาร ฯลฯ มีการแนะนำการศึกษาพื้นฐานภาคบังคับ อย่างไรก็ตามมีเพียงประชากรหนึ่งในสิบที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การลงคะแนนเสียงเกิดขึ้นในระบบเปิด ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงอำนาจทางการเมืองเป็นไปได้ยาก

    ระบบเมืองมีความทันสมัยและพัฒนา บูดาเปสต์ได้กลายเป็นเมืองหลวงของประเทศ มีการรวมเมืองเปสต์ บูดา และโอบูดาเข้าด้วยกัน ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ มีสัญญาณความขัดแย้งที่ซ่อนอยู่ในสังคมออสเตรีย-ฮังการีเพิ่มมากขึ้น หนึ่งในสิ่งเหล่านี้ที่ร้ายแรงที่สุด คือ เรื่องเชื้อชาติ เนื่องจากมีชนชาติจำนวนมากอยู่ในออสเตรีย-ฮังการี เช่น ชาวอิตาลี, โปแลนด์, ยูเครน, สโลวัก ฯลฯ แต่มีเพียงชาวออสเตรีย และ ชาวฮังการีที่มีสิทธิมากที่สุดในจักรวรรดิ และเป็นชนวนสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1

     
    แผนที่เขตปกครอง 18 แห่งของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิออสเตรีย: 1. โบฮีเมีย (Bohemia), 2. บูโควีนา (Bukovina), 3. คารินเทีย (Carinthia), 4. คาร์นิโอลา (Carniola), 5. ดัลเมเชีย (Dalmatia), 6. กัลลิเซีย (Galicia), 7. คึสเทินลันด์ (Küstenland), 8. ออสเตรียล่าง (Lower Austria), 9. โมราเวีย (Moravia), 10. ชาลซ์บูร์ก (Salzburg), 11. ซิเลเซีย (Silesia), 12. สตีเรีย (Styria), 13. ไทโรล (Tyrol), 14. ออสเตรียบน (Upper Austria), 15. โวราร์ลแบร์ก (Vorarlberg); ราชอาณาจักรฮังการี: 16. ฮังการี (Hungary) 17. โครเอเชีย-สลาโวเนีย (Croatia-Slavonia); ดินแดนปกครองร่วมกัน: 18.  บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (Bosnia and Herzegovina)
    สงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-ค.ศ. 1918)
     
    การลอบสังหารอาร์คดยุกฟรานซ์ เฟอร์ดินาน โดยกาฟริโล่ พริซิป (Gavrilo Princip) ชาวเซียร์เบีย ในกรุงซาราเยโว จักรวรรดิออสเตรียฮังการี เป็นชนวนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1

    ในฤดูร้อนปี 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ปะทุขึ้นในยุโรปเนื่องจากการลอบสังหารรัชทายาทออสเตรีย-ฮังการี ผู้ครองบัลลังก์ Ferenc Ferdinand โดยชาวเซอร์เบีย-บอสเนีย ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รัฐในยุโรปและทวีปอื่น ๆ ประเทศต่าง ๆ เข้าสู่สงคราม และกระจายไปทั่วโลก อีกด้านหนึ่ง เราสามารถพบเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี อิตาลี (พันธมิตรสามประเทศ) และรัฐที่สนับสนุนพวกเขา อีกด้านหนึ่งประกอบด้วยฝ่ายสัมพันธมิตร (Entente) ได้แก่ บริเตนใหญ่ รัสเซีย ฝรั่งเศส และรัฐต่าง ๆ ที่เข้าร่วมกับพวกเขา

    ชาวฮังกาเรียนเข้าร่วมในสงครามในฐานะทหารของกองทัพออสเตรียฮังการีร่วม หลายแสนคนเสียชีวิตในการต่อสู้อันทำลายล้างที่เกิดขึ้นมานานหลายปี ในปี ค.ศ. 1917 สหรัฐฯ เข้าสู่สงครามพร้อมกับฝ่ายสัมพันธมิตร และตัดสินผลลัพธ์ของสงครม สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจบลงด้วยชัยชนะของความตกลงร่วมกัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1918 ราชวงศ์และเยอรมนีก็สรุปการหยุดยิงด้วย การปฏิวัติเกิดขึ้นในฮังการีในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1918 ซึ่งตามคำร้องขอของผู้ประท้วง จักรพรรดิได้แต่งตั้งคาโรยิ มิฮาย (Mihály Károlyi) เป็นนายกรัฐมนตรี และได้เซ็นสัญญาสันติภาพกับฝ่ายพันธมิตร มีการปฏิรูปที่ดิน การลงคะแนนเสียง และเสรีภาพของสื่อมวลชน อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถเอาชนะปัญหาทางเศรษฐกิจและสภาวะภายนอกที่ไม่เอื้ออำนวยได้จากสงครามได้ เขาพยายามรักษาบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศอย่างสันติในระหว่างการเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ใด ๆ

    ในเดือนพฤศจิกายน สภาแห่งชาติได้ลงมติเกี่ยวกับความเป็นอิสระของประเทศและกลายเป็นสาธารณรัฐฮังการี ปัจจัยชี้ขาดในการพัฒนาสถานการณ์ต่อมาคือฮังการีเป็นประเทศที่พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและมีข้อเรียกร้องต่าง ๆ มาจากฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งรัฐบาลประชาธิปไตยไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องลาออกได้

     
    สาธาณรัฐโซเวียตฮังการี ค.ศ. 1919

    ทำให้รัฐบาลสังคมนิยมประชาธิปไตย-คอมมิวนิสต์ฮังการีขึ้นสู่อำนาจ และประกาศตั้งสาธารณรัฐโซเวียตฮังการีขึ้น ปกครองด้วยเผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1919 ซึ่งกินเวลาเพียง 3 เดือน รัฐบาลของสาธารณรัฐโซเวียตได้จัดทำบทบัญญัติเพื่อปรับปรุงสถานการณ์ แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามเปลี่ยนประเทศให้เป็นแบบจำลองโซเวียตรัสเซีย ด้วยมาตรการเผด็จการต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน กองทหารของรัฐเชโกสโลวาเกียและโรมาเนียที่เข้าร่วมฝ่ายพันธมิตรได้เข้ามาบุกฮังการี เมื่อสิ้นสุดสงคราม กองทัพสองประเทศได้เข้ายึดครองดินแดนจากฮังการีมากขึ้นเรื่อย ๆ รัฐบาลของสาธารณรัฐโซเวียตจัดกลุ่มต่อต้านขึ้น แต่พ้ายแพ้ลงไป และ เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศฮังการีเสียดินแดนไปจำนวนมาก จากสนธิสัญญาทรียานง

    การประชุมสันติภาพปารีสของฝ่ายสัมพันธมิตร ได้สัญญาชาวฮังการีว่าหากการต่อต้านด้วยอาวุธสิ้นสุดลง ทหารโรมาเนียจะอพยพออกจากดินแดนที่ถูกยึดครอง ชาวฮังการีได้หยุดการต่อต้าน แต่การประชุมสันติภาพไม่รักษาสัญญา และกองทัพโรมาเนียได้ทำการยึดครองบูดาเปสต์ต่อ การเจรจาสันติภาพในปารีสเมื่อสิ้นสุดลง มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อฮังการี ตามสนธิสัญญาสันติภาพทรียานง ที่ลงนามเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ฮังการีสูญเสียอาณาเขตสองในสาม โดยถูกผนวกเข้ากับอาณาเขตของประเทศโดยรอบ พื้นที่ที่ถูกตัดไปมีชาวฮังการีอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก (พื้นที่ดังกล่าว เช่น Szeklerland) รัฐฮังการีมีหน้าที่ชดเชยความสูญเสียทางวัตถุทั้งหมดที่ประเทศรอบข้างสูญเสียไปในช่วงสงคราม กองทัพถูกรื้อถอน และอาวุธยุทโธปกรณ์ก็ถูกห้ามการใช้งาน หลังจากการล่มสลายของสาธารณรัฐโซเวียตฮังการี ฮังการีก็กลายเป็นราชอาณาจักรฮังการี โดยเป็นราชอาณาจักรที่ไม่มีกษัตริย์ ประเทศถูกปกครองโดยผู้ว่าราชการที่ได้รับเลือกจากรัฐสภา ชื่อว่า มิกโลช โฮร์ตี (Horthy Miklós) การปกครองของโฮร์ตีดำเนินไปจนถึงปี ค.ศ. 1944

    สนธิสัญญาทรียานง (ค.ศ. 1920) และการเสียดินแดนของราชอาณาจักรฮังการี
    ดูบทความหลักที่: สนธิสัญญาทรียานง
     
    ความแตกต่างระหว่างพรมแดนเดิมกับพรมแดนใหม่ของอาณาจักรฮังการีในจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และราชอาณาจักรฮังการีอิสระ หลังการเสียดินแดนตามสนธิสัญญาทรียานง จากสำมะโนประชากรเชื้อชาติของราชอาณาจักรฮังการี ปี ค.ศ. 1910 สีเขียวแทนพื้นที่ราชอาณาจักรฮังการี และสีเทาแทนพื้นที่เขตปกครองตนเองโครเอเชีย-สลาโวเนีย (autonomous region of Croatia-Slavonia)

    สนธิสัญญาทรียานง (ฝรั่งเศส: Traité de Trianon; ฮังการี: Trianoni békeszerződés; อังกฤษ: Treaty of Trianon) เป็นหนึ่งในห้าสนธิสัญญาสันติภาพสำคัญ ที่เตรียมไว้ในการประชุมสันติภาพปารีสและลงนามในพระราชวังกร็องทรียานง (Grand Trianon Palace) ในเมืองแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ระหว่างชาติฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กับราชอาณาจักรฮังการี หลังเป็นหนึ่งในรัฐผู้สืบทอดของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี หลังการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1[3] ของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี โดยมีเนื้อหาในการทำให้อาณาจักรฮังการีกลายเป็นราชอาณาจักรฮังการี และแบ่งแยกดินแดนเดิมของอาณาจักรฮังการีแก่ประเทศเพื่อนบ้าน[4][5]

     
    ผู้ลงนามในสนธิสัญญา 2 คนจากจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี นายอาโกชต์ แบนาร์ด (Ágost Benárd) และนายอัลเฟรด ดราชเช-ลาซาร์ (Alfréd Drasche-Lázár) ในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ณ พระราชวังกร็องทรียานง เมืองแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส

    สนธิสัญญาทรียานงร่างขึ้นจากคำร้องขอสงบศึกของ อดีตจักรพรรดิและรัฐบาลขุนนางจักรวรรดิออสเตรีย- ฮังการี หัวหน้าฝ่ายพันธมิตรและผู้มีอำนาจเกี่ยวข้องได้ยอมรับคำขอสงบศึกของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918[6] โดยฝ่ายสัมพันธมิตรได้กำหนดให้ฮังการีเป็นรัฐอิสระและกำหนดเขตแดนเสียใหม่ การแบ่งดินแดนทำให้ประเทศฮังการีกลายเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีพื้นที่ 93,073 ตารางกิโลเมตร (35,936 ตารางไมล์) เป็นปริมาณเพียง 28% จากพื้นที่เดิมของฮังการีเมื่อยังเป็นจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเคยมีพื้นที่อยู่ 325,411 ตารางกิโลเมตร (125,642 ตารางไมล์) มีประชากร 7.6 ล้านคน ซึ่งนับเป็นเพียง 36% ของจำนวนประชากรในฮังการีก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่มีประชากรอยู่ 20.9 ล้านคน[7] พื้นที่ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจัดสรรให้กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ส่วนใหญ่ประชากรไม่ใช่ชาวฮังการี แต่ 31% ของชาวฮังการี (3.3 ล้านคน) ถูกทิ้งไว้นอกเขตแดนของประเทศฮังการี[8] ห้าในสิบเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรก่อนสงครามตกไปอยู่ในการครอบครองของประเทศอื่น ๆ เช่น เมืองโปโจญ (Pozsony: ปัจจุบันคือ กรุงบราติสลาวา, เมืองหลวงของประเทศสโลวาเกีย), เมืองโคโลจวาร์ (Kolozsvár: ปัจจุบันคือ เมืองคลูช-นาโปกา, ประเทศโรมาเนีย), เมืองซาเกร็บ (Zágráb: ปัจจุบันคือ กรุงซาเกร็บ, ประเทศโครเอเชีย), เมืองน็อจวาร็อด (Nagyvárad, ปัจจุบันคือ เมืองออราเดีย, ประเทศโรมาเนีย) เป็นต้น[9] สนธิสัญญาทรียานงจำกัดขนาดกองทัพของฮังการีให้มีทหารเพียง 35,000 คน และกองทัพเรือออสเตรีย-ฮังการีถูกยุบลงไป[10]

     
    อนุสรณ์สถานการเสียดินแดนจากสนธิสัญญาทรียานง ในเมืองเบเกชชอบอ ประเทศฮังการี

    ประเทศที่ได้ครองดินแดนของอาณาจักรฮังการีที่เสียไป ประกอบด้วยราชอาณาจักรโรมาเนีย, สาธารณรัฐเชโกสโลวัก, ราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย และสาธารณรัฐออสเตรีย หนึ่งในองค์ประกอบหลักของสนธิสัญญาคือแนวคิด "การตัดสินใจโดยประชาชน" เป็นความพยายามที่จะทำให้คนที่ไม่ใช่ชาวฮังการี มีรัฐชาติและความเป็นเอกราชของตนเอง[11] นอกจากนี้ฮังการีจะต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามให้กับประเทศเพื่อนบ้านด้วย สนธิสัญญาดังกล่าวถูกกำหนดโดยฝ่ายสัมพันธมิตรมากกว่าการเจรจาร่วมกับชาวฮังการี และชาวฮังการีไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมรับเงื่อนไขสนธิสัญญา คณะผู้แทนชาวฮังการีได้ลงนามในสนธิสัญญาทรียานง (พร้อมกับการเขียนประท้วงสนธิสัญญาแนบร่วม)[12] เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1920 ที่พระราชวังกร็องทรียานง ในเมืองแวร์ซาย ประเทศฝรั่งเศส สนธิสัญญาดังกล่าวได้รับการจดทะเบียนในชุดสนธิสัญญาของสันนิบาตชาติเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1921[13] อาณาเขตของประเทศสาธารณรัฐฮังการีในปัจจุบันมียังมีขนาดคงเดิมตามสนธิสัญญาทรียานง มีการแก้ไขเล็กน้อยจนถึงปี ค.ศ. 1924 เกี่ยวกับชายแดนฮังการีและออสเตรีย (รัฐบูร์เกนลันด์)[14] รวมไปถึงหมู่บ้านสามแห่งที่กลายเป็นดินแดนของประเทศเชโกสโลวาเกียในปี ค.ศ. 1947[15] หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    สนธิสัญญาทรียานง เป็นเหตุการณ์สูญเสียทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของประเทศฮังการี เป็นสาเหตุที่ทำให้มีชนกลุ่มน้อยฮังการีกระจัดกระจายอยู่ทั่ว 7 ประเทศที่ได้ดินแดนไปในฮังการี วันที่ 4 มิถุนายน ของทุก ๆ ปี คือ วันรวมเป็นหนึ่งแห่งชาติ (A nemzeti összetartózás napja) เพื่อชาวฮังการีที่อยู่ทั่วโลก ให้มารวมกันอีกครั้ง หลังการถูกแยกกันจากสนธิสัญญาทรียานง

    ระหว่างสงครามโลก (ค.ศ. 1918-ค.ศ. 1938)
     
    ผู้ว่าการมิกโลช โฮร์ตี (Horthy Miklós kormányzó)

    หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง วิเตซ[16] มิกโลช โฮร์ตี แห่งน็อจบาญอ (ฮังการี: nagybányai Horthy Miklós) พลเรือเอกชาวฮังการี ที่ได้กลายเป็นผู้สำเร็จราชการแห่งราชอาณาจักรฮังการี ซึ่งมิกโลช โฮร์ตี ได้ทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแห่งอาณาจักรฮังการีในสมัยระหว่างสงคราม และเกือบตลอดช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1920 ถึง 15 ตุลาคม ค.ศ. 1944 เขาได้ถูกขนามนามว่า "ฮิสเซอรีนไฮเนส ผู้สำเร็จราชการแห่งอาณาจักรฮังการี"(ฮังการี: Ő Főméltósága a Magyar Királyság Kormányzója) เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพเรือออสเตรีย-ฮังการีในช่วงท้ายปีของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้รับการเลื่อนยศตำแหน่งเป็นพลเรือโทและผู้บัญชาการกองเรือ เมื่อพลเรือเอกก่อนหน้านี้ได้ถูกขับออกจากตำแหน่งโดยจักรพรรดิคาร์ลที่ได้ให้การสนับสนุนการก่อกบฏ ในปี ค.ศ. 1919 ตามมาด้วยส่วนหนึ่งของการปฏิวัติและการเข้าแทรกแซงจากภายนอกในฮังการี ตั้งแต่โรมาเนีย เชโกสโลวาเกีย และยูโกสลาเวีย โฮร์ตีได้เดินทางกลับบูดาเปสต์พร้อมกับกองทัพแห่งชาติและต่อมาก็ได้รับเชิญให้เป็นผู้สำเร็จราชการจากรัฐสภาฮังการี โฮร์ตีได้นำรัฐบาลชาติอนุรักษนิยม[17]ตลอดช่วงสมัยระหว่างสงคราม และได้ประกาศให้พรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีและพรรคแอร์โรว์ครอสส์ เป็นพรรคการเมืองผิดกฎหมาย และดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเน้นการเรียกร้องดินแดนที่เสียไปในสนธิสัญญาทรียานงคืน เขาเป็นผู้ทำให้ความพยายามคืนสู่บัลลังก์ของ สมเด็จพระเจ้าคาร์ลที่ 4 ทั้งสองครั้งในปี ค.ศ. 1921 ต้องล้มเหลว รัฐบาลฮังการีตกอยู่ใต้ภัยคุกคามจากฝ่ายสัมพันธมิตรที่อาจจะประกาศสงครามถ้าหากมีการฟื้นฟูราชวงศ์ฮาพส์บวร์คขึ้นมา สมเด็จพระเจ้าคาร์ลที่ 4 จึงทรงถูกพาออกไปจากฮังการีโดยเรือรบของสหราชอาณาจักรในสถานะผู้ลี้ภัย

    สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1938-ค.ศ. 1944)
    ดูบทความหลักที่: สงครามโลกครั้งที่ 2
     
    ดินแดนที่ฮังการีได้รับกลับคืนมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

    การฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจของฮังการีชเป็นเรื่องยากหลังจากสนธิสัญญาทรียานง การไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ การกู้ยืม การปฏิรูปที่ดิน และการพัฒนาวัฒนธรรมภายในประเทศมีส่วนทำให้เกิดการควบรวมกิจการรัฐและประชาชน ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ฮังการีได้กระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับเยอรมนี ภายใต้อิทธิพลของเยอรมัน กฎหมายต่อต้านชาวยิวได้ผ่านการอนุมัติในฮังการี จากการเสริมสร้างอิทธิพลของเยอรมัน ทำให้ขบวนการขวาจัดเสริมความแข็งแกร่งในฮังการีเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ไว้วางใจฮิตเลอร์และพยายามผ่อนคลายความสัมพันธ์ของเขากับเยอรมนี แต่ความพยายามนี้ไม่ได้ผลลัพธ์ที่มีนัยสำคัญใด ๆ การที่ฮังการีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองนั้นส่วนใหญ่เกิดจากสนธิสัญญาทรียานง การขึ้นสู่อำนาจของฮิตเลอร์ในเยอรมนีทำให้เกิดความหวังในการเมืองของฮังการีว่าจะได้รับพื้นที่ที่ถูกแยกไป เมื่อกองทัพเยอรมันบุกเชโกสโลวาเกียในปี ค.ศ. 1938 พื้นที่ด้านใต้ของเชโกสโลวาเกียและดินแดนทรานส์คาร์เพเทีย (ปัจจุบันคือ แคว้นซาการ์ปัจจา ประเทศยูเครน) บางส่วนก็ถูกส่งกลับไปยังฮังการี ฮิตเลอร์เข้ายึดครองโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 ดังนั้นมหาอำนาจยุโรปจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี สงครามโลกครั้งที่สองเกิดขึ้น โดยฮังการีไม่ได้เข้าสู่สงครามในขณะนั้น ภายใต้การนำของโฮร์ตีฮังการีได้ให้การสนับสนุนผู้ลี้ภัยชาวโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939

     
    มิกโลชโฮร์ตี และ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ค.ศ. 1938

    เพื่อที่จะเอาฮังการีเข้ามาร่วมสงคราม ผู้นำกองทัพเยอรมันและอิตาลีได้บรรลุผลให้ฮังการียึดพื้นที่ทางตอนเหนือของทรานซิลเวเนียคืนในปี ค.ศ. 1940 เพื่อป้องกันให้ฮังการีเข้าสงคราม ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1940 นายกรัฐมนตรีปาล แตแลกิ (Teleki Pál) ได้ลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพถาวรกับยูโกสลาเวียเพื่อบรรเทาอิทธิพลฝ่ายเดียวของเยอรมนี ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1941 เยอรมนีตัดสินใจบุกยูโกสลาเวียโดยมีส่วนร่วมของชาวฮังกาเรียน นายกฯ แตแลกิเห็นว่าฮังการีกำลังเข้าสู่สงครามและกำลังจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมในการปฏิบัติตามคำขอของเยอรมัน ดังนั้นเขาจึงฆ่าตัวตาย เมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1941 เขาเตือนโฮร์ตีถึงอันตรายของการเข้าร่วมสงครามในจดหมายอำลา โฮร์ตีได้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และฮังการีได้โจมตียูโกสลาเวีย ฮังการีได้คืนดินแดนทางใต้บางส่วนกลับคืนมา ในปี ค.ศ. 1941 ฮิตเลอร์บุกสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา และฮังการีเข้าสู่สงครามและทำสงครามกับสหภาพโซเวียต ฮังการีได้ไปสู่ความพ่ายแพ้พร้อมกับชาวเยอรมัน กองทัพฮังการีที่ 2 จำนวน 200,000 คนถูกส่งไปยังแนวรบโซเวียตในปี ค.ศ. 1942 กองทหารฮังการีเข้ายึดตำแหน่งป้องกันที่ริมฝั่งแม่น้ำดอนใกล้เมืองโวโรเนจ การโจมตีของสหภาพโซเวียตซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนมกราคม ค.ศ. 1943 ได้บดขยี้กองกำลังฮังการีที่มีอุปกรณ์ครบครันภายในเวลาไม่กี่วัน จำนวนผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ และเชลยศึกมีมหาศาล ผู้นำฮังการีพยายามซ่อนสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นเหตุการณ์

    ความไม่เต็มใจของโฮร์ตีที่จะมีส่วนร่วมในความพยายามทำสงครามของเยอรมันและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในฮังการี รวมทั้งได้ปฏิเสธที่จะส่งมอบชาวยิวเชื้อสายฮังการีมากกว่า 600,000 คนจาก 825,000 คนให้แก่เจ้าหน้าที่เยอรมัน รวมถึงการที่รัฐบาลฮังการีได้ทำการการเจรจาลับกับฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อฮิตเลอร์ตระหนักถึงการเจรจาลับนั้น ทำให้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1944 กองทัพเยอรมันได้บุกเข้ายึดครองฮังการีในในปฏิบัติการมาร์กาเรต ประเทศฮังการีถูกปล้น และทำให้สินค้าทางเศรษฐกิจ (อาหาร ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) ถูกส่งไปยังเยอรมนีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมิกโลช โฮร์ตีได้ถูกบังคับให้ลาออกและถูกจับกุมโดยนาซีเยอรมันไปยังแคว้นบาวาเรีย[18]ผลที่น่าเศร้าของการยึดครองของชาวเยอรมันคือการเนรเทศและกำจัดชาวยิวฮังการีไปยังค่ายกักกันจำนวนมาก ชาวเยอรมันต่อสู้ในหลายแนวรบในสงคราม ความสูญเสียของพวกเขาเพิ่มขึ้น และเห็นได้ชัดว่าฝ่ายอักษะกำลังแพ้สงครม รัฐบาลฮังการีประกาศถอนตัวจากสงครามในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1944 แต่การประกาศดังกล่าวเกินกำหนด ภายใต้แรงกดดันของเยอรมัน เยอรมันเริ่มปล้นสะดมในฮังการีมากขึ้น ในขณะเดียวกันกองทัพแดงของสหภาพโซเวียต ได้เข้ายึดครองบางส่วนของฮังการี ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1945 นาซีเยอรมันขอจบการสู้รบ และสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง และทำให้ฮังการีสูญเสียดินแดนที่ถูกยึดคืนอีกครั้งและ พวกเขาได้รับคำสั่งให้จ่ายเงินชดเชยหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ

     
    ตราประจำชาติของคอมมิวนิสต์ฮังการี (ค.ศ. 1957)
    คอมมิวนิสต์ฮังการี (ค.ศ. 1945-ค.ศ. 1989) สมัยของราโกชิ

    หลังจากความพ่ายแพ้ของนาซีเยอรมนี ประเทศฮังการีกลายเป็นรัฐบริวารของสหภาพโซเวียต ผู้นำโซเวียตได้เลือก นายมาตยาช ราโกชิ (Mátyás Rákosi) ให้เป็นผู้นำในการเปลี่ยนระบบของประเทศฮังการีให้เป็นแบบคอมมิวนิสต์แบบโซเวียต ราโกชิได้ปกครองฮังการีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง ค.ศ. 1956 นโยบายของรัฐบาลในด้านการทหาร, การทำอุตสาหกรรม, การรวมกลุ่ม และ การชดเชยจากสงครามทำให้คุณภาพชีวิตในประเทศฮังการีลดลงอย่างรุนแรง ในการเลียนแบบตำรวจลับ KGB ของโจเซฟ สตาลิน รัฐบาลของราโกชิได้จัดตั้งตำรวจลับ ÁVH เพื่อบังคับใช้ระบอบการปกครองใหม่ โดยได้ทำการกวาดล้างเจ้าหน้าที่และปัญญาชนประมาณ 350,000 คน ซึ่งถูกจำคุกหรือประหารชีวิตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ถึง 1956 นักคิดอิสระ, นักประชาธิปไตย และ บุคคลสำคัญในสมัยผู้สำเร็จราชการมิกโลช โฮร์ตีหลายคนถูกจับอย่างลับ ๆ และถูกวิสามัญฆาตกรรมในค่ายกักกันแรงงานกูลากทั้งในและต่างประเทศ ชาวฮังการีราว 600,000 คนถูกเนรเทศไปยังค่ายแรงงานโซเวียตซึ่งมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 200,000 คน

    หลังจากการเสียชีวิตของสตาลินในปี ค.ศ. 1953 สหภาพโซเวียตได้ดำเนินโครงการกดขี่ประชาชนแบบราโคซีหลายแบบ ซึ่งนำไปสู่การปลดมาตยาช ราโกชิ ออกจากตำแหน่ง และนายอิมแร น็อจย์ (Imre Nagy) ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทน ในช่วงนี้ได้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองมากขึ้นจากนักศึกษาและปัญญาชน อิมแร น็อจย์สัญญาว่าจะเปิดการค้าเสรีและการเปิดกว้างในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ในขณะที่นายราโกชิคัดค้านทั้งสองอย่างจริงจัง ในที่สุดราโกชิก็สามารถทำลายชื่อเสียงของอิมเร น็อจย์ และแทนที่เขาด้วยนายแอร์เนอ แกเรอ (Ernő Gerő) ที่แข็งกร้าวกว่า ประเทศฮังการีเข้าร่วมสนธิสัญญาวอร์ซอ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1955 เนื่องจากความไม่พอใจของสังคมต่อระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ที่เพิ่มขึ้นในรัฐบริวารของโซเวียตรัสเซีย

    การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956

    หลังจากการยิงผู้ประท้วงอย่างสันติโดยกองกำลังทหารโซเวียตและตำรวจลับ ได้มีการชุมนุมทั่วประเทศเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1956 ผู้ประท้วงพากันรวมตัวทั่วท้องถนนในกรุงบูดาเปสต์และเริ่มการปฏิวัติรัฐบาล เรียกว่า การปฏิวัติฮังการี ค.ศ. 1956 เพื่อที่จะระงับความวุ่นวาย นายอิมแร น็อจย์ได้กลับมาดำรงตำแหน่งในฐานะนายกรัฐมนตรี และสัญญาว่าจะมีการเลือกตั้งโดยเสรีและนำฮังการีออกจากสนธิสัญญาวอร์ซอ

     
    รถถังโซเวียตที่ถูกทำลายโดยกองกำลังปลดแอกฮังการีในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1956 (ถ่าย ณ จัตุรัสมอริตซ์ จิกโมนด์, กรุงบูดาเปสต์)

    อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่กองกำลังปฏิวัติลุกขึ้นต่อสู้กับกองทัพโซเวียตและตำรวจลับ ÁVH กองกำลังประชาชนติดอาวุธประมาณ 3,000 คน ได้ต่อสู้กับรถถังโซเวียตโดยใช้ค็อกเทลโมโลตอฟและปืนพก แม้ว่าโซเวียตจะมีกองกำลังที่แข็งแกร่งกว่ามาก แต่กองทัพโซเวียตก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก และเมื่อถึงวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1956  กองทัพโซเวียตส่วนใหญ่ได้ถอนกำลังจากกรุงบูดาเปสต์ไปรักษาการณ์ในชนบท ในช่วงเวลาหนึ่งผู้นำโซเวียตไม่แน่ใจว่าจะตอบสนองต่อการต่อต้านในฮังการีอย่างไร แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะเข้าแทรกแซงเพื่อป้องกันไม่ให้อำนาจของสหภาพโซเวียตในยุโรปตะวันออกสั่นคลอน ในวันที่ 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1956 มีการเสริมกำลังทหารมากกว่า 150,000 นายและรถถัง 2,500 คันเข้าประเทศฮังการีจากสหภาพโซเวียต ชาวฮังการีเกือบ 20,000 คนถูกสังหารในการต่อต้านการแทรกแซง ขณะที่อีก 21,600 คนถูกจำคุกหลังจากนั้นด้วยเหตุผลทางการเมือง ประมาณ 13,000 คนถูกคุมขัง และ 230 คนถูกนำตัวไปประหารชีวิต นายอิมแร น็อจย์ถูกตัดสินทางการเมืองอย่างลับ ๆ โดยถูกตัดสินว่ามีความผิด และถูกตัดสินประหารชีวิต เขาถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1958 เนื่องจากพรมแดนของประเทศฮังการีถูกเปิดออกเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ผู้คนเกือบ 250,000 คนได้หนีออกจากประเทศ ก่อนที่การปฏิวัติของอิมแร น็อจย์จะถูกระงับลง

    สมัยของกาดาร์
     
    ยาโนช กาดาร์ (János Kádár) เลขาธิการพรรคแรงงานสังคมนิยมฮังการี ระหว่าง ค.ศ. 1956 - 1988 (ถ่ายในปี ค.ศ. 1962)

    หลังช่วงเวลาแห่งการยึดครองทางทหารของโซเวียตไม่นานนัก นายยาโนช กาดาร์ (János Kádár) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิมแร น็อจย์ ได้รับเลือกจากผู้นำโซเวียตให้เป็นหัวหน้ารัฐบาลใหม่และเป็นประธานพรรคสังคมนิยมแรงงาน (MSzMP) ที่ปกครองใหม่ กาดาร์ทำให้สถานการณ์เป็นปกติอย่างรวดเร็ว ในปี ค.ศ. 1963 รัฐบาลได้ให้นิรโทษกรรมทั่วไปและปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังส่วนใหญ่การลุกฮือใน ค.ศ. 1956 กาดาร์ประกาศแนวนโยบายใหม่ตามที่ประชาชนไม่ถูกบังคับให้แสดงความภักดีต่อพรรคอีกต่อไปหากพวกเขายอมรับระบอบสังคมนิยมโดยปริยายว่าเป็นความจริงของชีวิต ในสุนทรพจน์หลายครั้งเขาอธิบายว่า "คนที่ไม่ต่อต้านเราอยู่กับเรา" ยาโนช กาดาร์นำเสนอลำดับความสำคัญของการวางแผนใหม่ในระบบเศรษฐกิจ เช่น การอนุญาตให้เกษตรกรมีที่ดินส่วนตัวจำนวนมากภายใต้ระบบฟาร์มรวม (háztájigazdálkodás ฮาซตายิกอสดาลโกดาช) มาตรฐานการครองชีพในฮังการีสูงขึ้นเนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภคและการผลิตอาหารมีความสำคัญเหนือกว่าการผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหาร ซึ่งมีอัตราลดลงเหลือหนึ่งในสิบเมื่อเทียบกับก่อนการปฏิวัติใน ค.ศ. 1956

    ในปี ค.ศ. 1968 กลไกเศรษฐกิจใหม่ (NEM) ได้นำองค์ประกอบของตลาดเสรีเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม จากทศวรรษที่ 1960 ถึงปลายทศวรรษที่ 1980 ประเทศฮังการีมักถูกเรียกว่าเป็น "ค่ายทหารที่มีความสุขที่สุด" ในกลุ่มยุโรปตะวันออก ในช่วงหลังสงครามเย็น GDP ต่อหัวของฮังการีเป็นอันดับสี่รองจากเยอรมนีตะวันออก เชโกสโลวาเกีย และ สหภาพโซเวียต อันเป็นผลมาจากมาตรฐานการครองชีพที่ค่อนข้างสูงนี้ เศรษฐกิจที่เปิดเสรีมากขึ้น การกดขี่จากภาครัฐที่น้อยลง และสิทธิในการเดินทางที่ถูกจำกัดน้อยลง ฮังการีจึงถูกมองว่าเป็นหนึ่งในประเทศคอมมิวนิสต์ที่มีความเป็นเสรีนิยมที่สุดในช่วงคอมมิวนิสต์ อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ 1980 มาตรฐานการครองชีพลดลงอย่างมากอีกครั้งเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ซึ่งประเทศคอมมิวนิสต์ไม่สามารถที่จะแก้ไขวิกฤตได้ เมื่อกาดาร์เสียชีวิตในปี 1989 สหภาพโซเวียตประสบกับภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างมาก (ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี ค.ศ. 1991) และนักปฏิรูปรุ่นใหม่เห็นว่าการเปิดประเทศให้เสรีจะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองนี้ จะเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงของประเทศฮังการีเข้าสู่การเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยในที่สุด

    หลังการล่มสลายของระบอบคอมมิวนิสต์จนถึงปัจจุบัน (ค.ศ. 1989-ปัจจุบัน) การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1990

    ใน ปี ค.ศ. 1989 มีเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงระบบการเมือง (ฮังการี: rendszerváltás) เนื่องจากการร่วมสลายของระบอบคอมมิวนิสต์ในสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก โดยมีการก่อตั้งสาธารณรัฐฮังการีที่ 3 (Harmadik Magyar Köztársaság) ขึ้นมา ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 1989 แทนที่สาธารณรัฐประชาชนฮังการี ซึ่งมีระบบการปกครองเป็นแบบคอมมิวนิสต์ และในปีถัดมา ค.ศ. 1990 ประเทศฮังการีได้มีการจัดตั้งรัฐสภา, รัฐบาล และ ประธานาธิบดีสาธารณรัฐขึ้น ถึงแม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจหลังการเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองดีขึ้นมา หลังจากนั้น ก็ได้มีการจัดตั้งสถาบันอื่น ๆ ที่สำคัญในประเทศต่อมาในภายหลัง หลังปี ค.ศ. 1990

    ในช่วงทศวรรศที่ 1990 ประเทศฮังการีมีความพยายามสร้างร่วมมือกับประเทศยุโรปตะวันตก ประเทศฮังการีกลายเป็นสมาชิกนาโต้ในปี ค.ศ. 1999 และหลังจากการเป็นสมาชิกนาโต้ 2 สัปดาห์ ก็ได้มีส่วนร่วมในสงครามกลางเมืองยูโกสลาเวีย โดยมีประเทศเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเป็นคู่กรณี ทหารฮังการีมีส่วนร่วมในปฏิบัติการของนาโต้ในอัฟกานิสถานเกือบตั้งแต่แรกเริ่ม โดยเป็นหน่วยงานด้านการแพทย์ หลังจากนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 มีการส่งหน่วยทหารฮังการีเข้าไปรบในประเทศอัฟกานิสถาน โดยงานของกองกำลังฮังการีในอัฟการนิสถานนั้น ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหน่วยงานลาดตระเวนคุ้มกันและหน่วยงานสังคมสงเคราะห์

    ฮังการีเข้าร่วมสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ. 2007 และเป็นสมาชิกพื้นที่เชงเก้นของสหภาพยุโรป ซึ่งทำให้การควบคุมพรมแดนถาวรที่พรมแดนฮังการี - ออสเตรีย, ฮังการี - สโลวีเนีย และฮังการี - สโลวาเกีย ถูกยกเลิก แต่สกุลเงินอย่างเป็นทางการของประเทศยังคงเป็นเงินสกุลฮังกาเรียนโฟรินต์ ไม่ได้ใช้เงินยูโร

    ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศเปลี่ยนจากสาธารณรัฐฮังการี เป็นประเทศฮังการี (Magyarország) ตามกฎหมายพื้นฐาน (Alaptörvény) ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2012

    ฮังการีในวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยยุโรป ค.ศ. 2015
     
    แผนที่วิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยยุโรป ค.ศ. 2015

    ประเทศฮังการีได้ประสบกับวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยยุโรป ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 ถึง 2019 แต่มีจุดวิกฤตในปี ค.ศ. 2015 เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการย้านถิ่นฐานของมนุษย์ที่มีจำนวนมากที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จากการที่ผู้ลี้ภัยและผู้ย้ายถิ่นทางเศรษฐกิจได้ทำการอพยพจำนวนมากจากพื้นที่ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ ทวีปแอฟริกา และคาบสมุทรบอลข่านตะวันตก หลั่งไหลสู่สหภาพยุโรปข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โดยผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่มาจากประเทศซีเรีย อัฟกานิสถานและเอริเตรีย ซึ่งประเทศฮังการีซึ่งเป็นประเทศหน้าด่านระหว่างสหภาพยุโรปและบอลข่านก็ได้ทำหน้าที่เป็นประเทศแรกที่ทำการรับรองผู้อพยพก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศยุโรปตะวันตก อาทิ ประเทศเยอรมนี แต่ฮังการีคือหนึ่งในประเทศที่ไม่ยอมรับการรับผู้อพยพ และเกิดนโยบายกั้นรั้วพรมแดนด้านใต้ของประเทศที่ติดกับประเทศเซอร์เบีย นโยบายที่นำโดยนายวิกโตร์ โอร์บาน นายกรัฐมนตรีฮังการีจากพรรค FIDESZ

    เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2015 รัฐบาลฮังการีได้ประกาศการก่อสร้างรั้วสูง 4 เมตร ยาว 175 กิโลเมตร ตามแนวชายแดนทางใต้ของประเทศเซอร์เบีย โดยได้ทำการสร้างเสร็จสิ้นในขั้นตอนที่หนึ่งเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2015 ตามข้อมูลของกระทรวงกลาโหมฮังการี รั้วประกอบด้วยลวดมีดโกนของนาโต้สามเส้นยาว 175 กิโลเมตร และรั้วอีกชั้นหนึ่งเป็นรั้วลวดหนามสูงประมาณ 4 เมตร โดยรั้วชั้นที่สองได้ทำการสร้างเสร็จในปลายปี ค.ศ. 2015 นายยาโนช ลาซาร์ (János Lázár) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีอธิบายว่า "ฮังการีถูกปิดล้อมจากผู้ค้ามนุษย์" และประกาศว่ารัฐบาลจะ "ปกป้องพรมแดนที่ขยาย [ของพวกเขา] นี้ด้วยกำลัง" ประเทศฮังการีได้ทำการจัดกำลังตำรวจ 9,000 นายเพื่อกันผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารจากการเข้าประเทศฮังการี โดยคณะกรรมาธิการยุโรปเตือนสมาชิกประเทศฮังการีเกี่ยวกับขั้นตอนที่ขัดต่อพันธกรณีของสหภาพยุโรปและเรียกร้องให้สมาชิกอย่างฮังการีหาวิธีอื่นในการรับมือกับการอพยพเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย

     
    ผู้อพยพชาวตะวันออกกลางทำการประท้วงรัฐบาลฮังการีด้วยการอดอาหารหน้าสถานีรถไฟตะวันออก (Keleti pályaudvar) สถานีรถไฟระหว่างประเทศหลักประจำกรุงบูดาเปสต์ ในวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2015

    เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 2015 นายวิกโตร์ โอร์บานได้ปกป้องการจัดการของประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ผู้อพยพภายใน แม้ว่าจะมีความวุ่นวายเนื่องจากการประท้วงของผู้อพยพโดยการอดอาหาร (hunger strike) หน้าสถานีรถไฟหลักระหว่างประเทศของบูดาเปสต์ (สถานีรถไฟตะวันออก: Keleti pályaudvar) พร้อมกับวิจารณ์การจัดการของประเทศเยอรมนีและสหภาพยุโรปโดยรวมที่ไม่ห้ามผู้อพยพเข้าสู่ยุโรป ในวันเดียวกันนั้นตำรวจฮังการีอนุญาตให้ผู้อพยพขึ้นรถไฟในบูดาเปสต์มุ่งหน้าไปทางตะวันตกก่อนจะหยุดที่เมืองบิชแก (Bicske) โดยตำรวจพยายามขนส่งผู้อพยพไปยังค่ายทะเบียนที่เมืองบิชแก เพื่อลงข้อมูลของผู้อพยพก่อนที่จะเดินทางต่อด้วยรถไฟอีกขบวนหนึ่งไปยังกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย แต่ผู้อพยพปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือและประท้วงขัดขืนโดยการอยู่ในรถไฟซึ่งไม่ได้เดินทางไปยังกรุงเวียนนาต่อไป

    และเมื่อวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2015 ผู้อพยพประมาณหนึ่งพันคนที่สถานีรถไฟตะวันออก (Keleti Pályaudvar) ออกเดินทางโดยการเดินเท้าไปยังออสเตรียและเยอรมนี ในคืนวันเดียวกันรัฐบาลฮังการีตัดสินใจส่งรถประจำทางเพื่อขนส่งผู้อพยพผิดกฎหมายไปยังเมืองแฮ็จแย็ชฮอโลม (Hegyeshalom) ที่ติดกับชายแดนประเทศออสเตรีย

    เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2015 มีรายงานว่าตำรวจฮังการีได้ปิดกั้นเส้นทางจากเซอร์เบียและจัดการจุดเข้าออกประจำที่มีเจ้าหน้าที่ทหารและเฮลิคอปเตอร์อย่างเข้มงวด พวกเขาปิดผนึกพรมแดนด้วยลวดมีดโกนและกักขังผู้อพยพข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมาย ด้วยการขู่ว่าจะถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาทางอาญา เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2015 ฮังการีได้ปิดผนึกพรมแดนกับเซอร์เบีย ผู้อพยพหลายร้อยคนพังรั้วกั้นระหว่างฮังการีและเซอร์เบียสองครั้งในวันพุธที่ 16 กันยายน 2015 และโยนเศษคอนกรีตและขวดน้ำข้ามรั้ว ตำรวจฮังการีตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและปืนใหญ่น้ำที่จุดผ่านแดนโฮร์โกช 2 (Horgoš 2) โดยรัฐบาลเซอร์เบีย ณ กรุงเบลเกรดประท้วงการกระทำเหล่านี้ของประเทศฮังการี ผู้ลี้ภัยชาวอิรักวัย 20 ปีถูกตัดสินให้เนรเทศและถูกห้ามเข้าประเทศฮังการีเป็นเวลา 1 ปีรวมถึงค่าธรรมเนียมศาล 80 ยูโรตามกฎหมายใหม่ที่บังคับใช้เมื่อไม่กี่วันก่อน เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2015 ประเทศฮังการีเริ่มสร้างรั้วอีกแห่งตามแนวชายแดนกับโครเอเชียซึ่งเป็นชาติสมาชิกสหภาพยุโรป แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเขตเชงเก้น ภายในสองสัปดาห์ผู้ลี้ภัยหลายหมื่นคนข้ามจากโครเอเชียไปยังฮังการีซึ่งส่วนใหญ่ไปชายแดนออสเตรีย

    เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2015 ฮังการีประกาศว่าจะปิดพรมแดนสีเขียวกับโครเอเชียสำหรับผู้อพยพ และตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคมเป็นต้นไป ผู้อพยพหลายพันคนเปลี่ยนจุดหมายไปยังประเทศสโลวีเนียแทน และเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2016 ฮังการีได้ประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับทั้งประเทศและส่งทหาร 1,500 นายไปยังพรมแดนทางใต้ ในเดือนสิงหาคม 2016 ภาวะฉุกเฉินได้ขยายไปถึงเดือนมีนาคม 2018 ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้นับตั้งแต่ ปลายปี ค.ศ. 2015 จวบจนปัจจุบัน ประเทศฮังการีไม่ได้ประสบกับปัญหาที่ตามมาจากวิกฤตการณ์ผู้ลี้ภัยยุโรปอีกเลย

    ประเทศฮังการีในการระบาดของไวรัสโควิด-19 ค.ศ. 2020-ปัจจุบัน
     
    คนขับรถไฟใส่หน้ากากอนามัยขณะกำลังทำงาน (ถ่ายเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 2020) การใส่หน้ากากอนามัยบนขนส่งสาธารณะ เช่น รถราง และ รถไฟ เป็นมาตรการที่บังคับใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2020 จนถึงปัจจุบัน (มกราคม ค.ศ. 2022)

    ประเทศฮังการีเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 (SARS-CoV-2) ในวิกฤตการณ์การระบาดทั่วของโควิด-19 โดยมีเคสแรกเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2020 และวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 2020 ได้มีการตรวจพบไวรัสโควิด-19 ในทุก ๆ เทศมณฑลของประเทศฮังการี[19] จนถึงปัจจุบัน (วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2022) มีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 1,467,129 คน และเสียชีวิต 41,229 คน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และสภาพเศรษฐกิจของประเทศฮังการีทั้งประเทศ

    จำนวนเคสที่ตรวจพบทั้งหมด 1,467,129 จำนวนผู้ที่กำลังรักษาตัวอยู่ 225,801 จำนวนผู้ที่หายแล้ว 1,241,328 จำนวนผู้เสียชีวิต 41,229 จำนวนคนที่กำลังโดนกักตัวอยู่ 29,596 จำนวนคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว 6,351,476 จำนวนประชากรที่ตรวจเชื้อแล้ว (หนึ่งคนอาจตรวจซ้ำได้หลายรอบ) 9,936,724 ล่าสุด : JAN 31, 2022 10:19 CET[20] Inalcik Halil: "The Ottoman Empire" "Ch7 A Short Demographic History of Hungary" (PDF). Archived from the original (PDF) on 4 February 2011. Retrieved 20 September 2009. The United States ended the war with the U.S.–Hungarian Peace Treaty (1921) Craig, G. A. (1966). Europe since 1914. New York: Holt, Rinehart and Winston. Lichtheim, G. (1974). Europe in the Twentieth Century. New York: Praeger. "MILITARY ARRANGEMENTS WITH HUNGARY" (PDF). Library of Congress. US Congress. Retrieved 5 May 2020. http://open-site.org/Regional/Europe/Hungary Macartney, C. A. (1937). Hungary and her successors: The Treaty of Trianon and Its Consequences 1919–1937. Oxford University Press. Macartney, C. A. (1937). Hungary and her successors: The Treaty of Trianon and Its Consequences 1919–1937. Oxford University Press. https://en.wikipedia.org/wiki/Austro-Hungarian_Navy Martin P. van den Heuvel,Jan Geert Siccama: The Disintegration of Yugoslavia, Yearbook of European Studies, 1992 [1] "Trianon, Treaty of". The Columbia Encyclopedia. 2009. League of Nations Treaty Series, vol. 6, p. 188. Botlik, József (มิถุนายน 2008). "AZ ŐRVIDÉKI (BURGENLANDI) MAGYARSÁG SORSA". vasiszemle.hu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 กันยายน 2020. Lexikonok - A (cseh)szlovákiai magyarok lexikona Csehszlovákia megalakulásától napjainkig / Történelem. Szlovákiai Magyar Adatbank. "วิเตซ" (Vitéz) หมายถึงระดับชั้นอัศวินระดับหนึ่งที่มิกโลช โฮร์ตี ตั้งขึ้น; "วิเตซ" มีความหมายตามตัวอักษรว่า "อัศวิน" หรือ "กล้าหาญ" John Laughland: A History of Political Trials: From Charles I to Saddam Hussein, Peter Lang Ltd, 2008 [1] von Papen, Franz, Memoirs, London, 1952, pps:541-23, 546. "Az egész országban jelen van a koronavírus". index.hu. 2020-03-18. สืบค้นเมื่อ 2020-03-18. "Koronavírus". koronavirus.gov.hu (ภาษาฮังการี).
    Read less

Phrasebook

สวัสดี
Szia
โลก
Világ
สวัสดีชาวโลก
Helló Világ
ขอขอบคุณ
Köszönöm
ลาก่อน
Viszontlátásra
ใช่
Igen
ไม่
Nem
คุณเป็นอย่างไรบ้าง
Hogy vagy?
สบายดีขอบคุณ
Köszönöm, jól
ราคาเท่าไหร่?
Mennyibe kerül?
ศูนย์
Nulla
หนึ่ง
Egy

Where can you sleep near ประเทศฮังการี ?

Booking.com
489.287 visits in total, 9.196 Points of interest, 404 Destinations, 114 visits today.