ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

Cristo Vlahos - CC BY-SA 3.0 Kecko - CC BY 2.0 FkMohr, Fotografin Supakon Mohr - CC BY-SA 3.0 de M M from Switzerland - CC BY-SA 2.0 Luca Casartelli - CC BY-SA 3.0 FkMohr, Fotografin Supakon Mohr - CC BY-SA 3.0 de NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 Kraftwerke Oberhasli AG - CC BY-SA 3.0 de Original: Valenic; derivative work: Zacharie Grossen - CC BY-SA 4.0 Cristina Del Biaggio - CC BY-SA 3.0 Giramondo1 from Vila Isabel, Brasil - CC BY 2.0 Roland Zumbühl - CC BY-SA 3.0 Leiju - CC BY-SA 3.0 Andreas Faessler - CC BY-SA 3.0 Fly01 - Public domain Roland Zumbühl - CC BY-SA 3.0 Kecko - CC BY 2.0 Nikolai Karaneschev - CC BY 3.0 NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 Kraftwerke Oberhasli AG - CC BY-SA 3.0 de NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 Kraftwerke Oberhasli AG - CC BY-SA 3.0 de NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 Christian David - CC BY-SA 4.0 Sirieta03 - CC BY-SA 4.0 Bernard Vogel - CC BY-SA 4.0 Swissair photo AG - CC BY-SA 4.0 ZachT - Public domain Christian David - CC BY-SA 4.0 dconvertini - CC BY-SA 2.0 Roland Zumbühl - CC BY-SA 3.0 FkMohr, Fotografin Supakon Mohr - CC BY-SA 3.0 de Yannick Bammert - CC BY 2.0 NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 dconvertini - CC BY-SA 2.0 User:Sunbeam - CC BY-SA 3.0 Unknown authorUnknown author - Public domain Petergenner - CC BY-SA 4.0 Kecko - CC BY 2.0 dconvertini - CC BY-SA 2.0 FkMohr, Fotografin Supakon Mohr - CC BY-SA 3.0 de Nikolai Karaneschev - CC BY 3.0 Nikolai Karaneschev - CC BY 3.0 dconvertini - CC BY-SA 2.0 Julian Peter - CC BY 2.0 Lorenz Poffet - CC BY-SA 4.0 Ester Abate - CC BY-SA 3.0 FkMohr, Fotografin Supakon Mohr - CC BY-SA 3.0 de - Public domain Champer - CC BY-SA 3.0 NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 Rozefiz - CC BY-SA 4.0 Sirieta03 - CC BY-SA 4.0 NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 Patrick Nouhailler - CC BY-SA 2.0 Alps - Public domain Nikolai Karaneschev - CC BY 3.0 FkMohr, Fotografin Supakon Mohr - CC BY-SA 3.0 de Bernard Vogel - CC BY-SA 4.0 NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 User:Nauticashades - CC BY-SA 3.0 Champer - CC BY-SA 3.0 TonnyB - CC BY-SA 3.0 Cooper.ch 10:27, 27 October 2006 (UTC) - CC BY 2.5 Maude Rion - CC BY-SA 4.0 dconvertini - CC BY-SA 2.0 Caumasee - CC BY-SA 3.0 Julius Silver - CC BY-SA 4.0 Gemeinde Randa - CC BY-SA 4.0 Plattens - CC BY-SA 3.0 NielsB at Dutch Wikipedia - CC BY-SA 3.0 No images

Context of ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์ (อังกฤษ: Switzerland; เยอรมัน: Schweiz; ฝรั่งเศส: Suisse; อิตาลี: Svizzera; รูมันช์: Svizra) มีชื่อทางการว่า สมาพันธรัฐสวิส (อังกฤษ: Swiss Confederation; ละติน: Confoederatio Helvetica) เป็นรัฐชาติที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลอันตั้งอยู่ในยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี ประเทศออสเตรีย และประเทศลีชเทินชไตน์ มีเมืองหลวงโดยพฤตินัยคือกรุงแบร์น และมีประชากรราว 8.5 ล้านคน

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์อยู่ระหว่างที่ราบสูงสวิส เทือกเขาแอลป์ และเทือกเขาฌูว์รา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 41,285 ตารางกิโลเมตร (15,940 ตารางไมล์) โดยมีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดิน 39,997 ตารางกิโลเมตร (15,443 ตารางไมล์) แม้ว่าเทือกเขาแอลป์จะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ประชากรเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ในที่ราบสูง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ซือริช เจนีวา และบาเซิล เมืองเหล่านี้เป็นที่ตั้งขอ...อ่านต่อ

สวิตเซอร์แลนด์ (อังกฤษ: Switzerland; เยอรมัน: Schweiz; ฝรั่งเศส: Suisse; อิตาลี: Svizzera; รูมันช์: Svizra) มีชื่อทางการว่า สมาพันธรัฐสวิส (อังกฤษ: Swiss Confederation; ละติน: Confoederatio Helvetica) เป็นรัฐชาติที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลอันตั้งอยู่ในยุโรปตะวันตก มีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส ประเทศอิตาลี ประเทศออสเตรีย และประเทศลีชเทินชไตน์ มีเมืองหลวงโดยพฤตินัยคือกรุงแบร์น และมีประชากรราว 8.5 ล้านคน

ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของสวิตเซอร์แลนด์อยู่ระหว่างที่ราบสูงสวิส เทือกเขาแอลป์ และเทือกเขาฌูว์รา ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 41,285 ตารางกิโลเมตร (15,940 ตารางไมล์) โดยมีพื้นที่ที่เป็นแผ่นดิน 39,997 ตารางกิโลเมตร (15,443 ตารางไมล์) แม้ว่าเทือกเขาแอลป์จะครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ประชากรเกือบทั้งหมดอาศัยอยู่ในที่ราบสูง ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ซือริช เจนีวา และบาเซิล เมืองเหล่านี้เป็นที่ตั้งของสำนักงานองค์การระหว่างประเทศหลายแห่ง เช่น องค์การการค้าโลก องค์การอนามัยโลก องค์การแรงงานระหว่างประเทศ สหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (ฟีฟ่า) สหประชาชาติ และธนาคารเพื่อการชำระบัญชีระหว่างประเทศ (บีไอเอส) นอกจากนี้ ท่าอากาศยานหลักของประเทศก็ตั้งอยู่ในเมืองเหล่านี้เช่นกัน สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลางทางการเมืองมาหลายศตวรรษ

การก่อตั้งสมาพันธรัฐสวิสเก่าเกิดขึ้นในช่วงปลายสมัยกลางซึ่งเป็นผลมาจากชัยชนะทางการทหารที่มีต่อออสเตรียและดัชชีบูร์กอญ ความเป็นอิสระของสวิสจากจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการในสนธิสัญญาสันติภาพเว็สท์ฟาเลิน ในปี ค.ศ. 1648 กฎบัตรของรัฐบาลกลางถือเป็นเอกสารสำคัญซึ่งรับรองการก่อตั้งประเทศและมีการเฉลิมฉลองในวันชาติจนถึงปัจจุบัน นับตั้งแต่การปฏิรูปประเทศในศตวรรษที่ 16 สวิตเซอร์แลนด์ยังคงวางตัวเป็นกลางด้านสงคราม และปราศจากสงครามระหว่างประเทศนับตั้งแต่ ค.ศ. 1815 และไม่ได้เข้าร่วมกับองค์การสหประชาชาติจนกระทั่ง ค.ศ. 2002 อย่างไรก็ตาม สวิตเซอร์แลนด์ได้ดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศอย่างแข็งขันและมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการสร้างสันติภาพทั่วโลก สวิตเซอร์แลนด์เป็นแหล่งกำเนิดของสภากาชาดซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรด้านมนุษยธรรมที่เก่าแก่และเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งของสมาคมการค้าเสรียุโรป แต่ไม่ได้เข้าร่วมสหภาพยุโรป เขตเศรษฐกิจยุโรป และยูโรโซน แต่ยังคงมีส่วนร่วมในพื้นที่เชงเกนและการค้าในยุโรปผ่านสนธิสัญญาทวิภาคี

สวิตเซอร์แลนด์ประกอบไปด้วยภูมิภาคที่มีความแตกต่างภาษาและวัฒนธรรมสี่ภูมิภาคหลัก ได้แก่ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี และภาษารูมันช์ โดยประชากรส่วนใหญ่จะพูดภาษาเยอรมัน ทว่าอัตลักษณ์ประจำชาติสวิสก็มีรากฐานมาจากภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ และค่านิยมร่วมกันโดยสะท้อนให้เห็นจากระบอบสหพันธรัฐ การปกครองแบบประชาธิปไตยโดยตรง และเทือกเขาแอลป์ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์แทนความหลากหลายของเชื้อชาติต่าง ๆ ในภูมิภาค อัตลักษณ์นี้แผ่ขยายไปยัง ภาษา กลุ่มชาติพันธุ์ และศาสนา

สวิตเซอร์แลนด์ถือเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและมีความมั่งคั่งสูงที่สุดชาติหนึ่ง และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศสูงเป็นอันดับที่ 8 ของโลก และยังมีระบบการจัดเก็บภาษีและระบบสวัสดิการสังคมที่มีคุณภาพสูง โดยมีระบบการศึกษา การสาธารณสุข การคมนาคม และสาธารณูปโภคที่มีคุณภาพ และมีความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและมีดัชนีการพัฒนามนุษย์สูง เมืองสำคัญได้แก่ ซือริช เจนีวา และบาเซิล ล้วนติดอันดับเมืองที่มีคุณภาพชีวิตประชากรสูง แม้จะมีค่าครองชีพที่สูงที่สุดในโลกก็ตาม ใน ค.ศ. 2020 สถาบันการจัดการนานาชาติได้จัดอันดับให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศอันดับหนึ่งซึ่งดึงดูดแรงงานที่มีทักษะในการเข้ามาทำงาน และสภาเศรษฐกิจโลกได้จัดอันดับให้สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีอัตราการแข่งขันสูงเป็นอันดับที่ 5 ของโลก

More about ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

Basic information
Population, Area & Driving side
  • Population 8902308
  • Area 41285
  • Driving side right
ประวัติ
  • ยุคก่อนประวัติศาสตร์

    เมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกกลุ่มนักล่าสัตว์และกลุ่มคนเร่ร่อนได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alp) ซึ่งในปัจจุบันก็คือพื้นที่บริเวณ Graubünden ใจกลางประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก[1] ต่อมาก็ได้มีการขยายอาณาเขตออกไปเรื่อย ๆ ตามพื้นที่บริเวณลุ่มทะเลสาบต่าง ๆ จนกระทั่งเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนคริสต์ศักราชชนเผ่าเคลต์ (Celt คือกลุ่มชนชาติที่พูดภาษากลุ่มเคลต์) ได้เริ่มย้ายถิ่นฐานจากทางเยอรมนีตอนใต้ เข้าไปสู่พื้นที่ลุ่มทะเลสาบในตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มมากขึ้น โดยทางด้านตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่อยู่อาศัยของพวก Raetia ส่วนทางด้านตะวันตกถูกครอบครองโดยชาว Helvetii นอกจากนั้นก็ยังมีชนเผ่าอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกเป็นจำนวนมาก คือ ชนเผ่า Lepontier ทางแคว้น Tessin ชนเผ่า Seduner ในเขต Wallis และทะเลสาบเจนีวา[2]

    ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในประมาณ 58 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชนเผ่าโรมันภายใต้การนำของจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้เข้าโจมตีและยึดดินแดนของชนเผ่า Helvetii และดินแดนส่วนอื่น ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ช่วงนี้เองที่ได้เริ่มที่การก่อสร้างถนนหนทางและระบบผังเมืองขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น ในบริเวณเมืองบาเซิล, คูร์, เจนีวา, ซือริช ในปัจจุบัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง Avenches

    ในช่วงปลายของยุคสมัยโรมัน ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่เข้ามาในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ได้มีการตั้งตำแหน่งบิชอป ขึ้นตามเมืองต่าง ๆ และเชื่อกันว่าอาณาจักรโรมันก็ล่มสลายลงในช่วงนี้เอง[3]

    ...อ่านต่อ
    ยุคก่อนประวัติศาสตร์

    เมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกกลุ่มนักล่าสัตว์และกลุ่มคนเร่ร่อนได้ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ (Alp) ซึ่งในปัจจุบันก็คือพื้นที่บริเวณ Graubünden ใจกลางประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นครั้งแรก[1] ต่อมาก็ได้มีการขยายอาณาเขตออกไปเรื่อย ๆ ตามพื้นที่บริเวณลุ่มทะเลสาบต่าง ๆ จนกระทั่งเมื่อประมาณ 400 ปีก่อนคริสต์ศักราชชนเผ่าเคลต์ (Celt คือกลุ่มชนชาติที่พูดภาษากลุ่มเคลต์) ได้เริ่มย้ายถิ่นฐานจากทางเยอรมนีตอนใต้ เข้าไปสู่พื้นที่ลุ่มทะเลสาบในตอนกลางของประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพิ่มมากขึ้น โดยทางด้านตะวันออกของสวิตเซอร์แลนด์เป็นที่อยู่อาศัยของพวก Raetia ส่วนทางด้านตะวันตกถูกครอบครองโดยชาว Helvetii นอกจากนั้นก็ยังมีชนเผ่าอื่น ๆ ที่กระจัดกระจายไปตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกเป็นจำนวนมาก คือ ชนเผ่า Lepontier ทางแคว้น Tessin ชนเผ่า Seduner ในเขต Wallis และทะเลสาบเจนีวา[2]

    ต่อมาเมื่อเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรโรมันในประมาณ 58 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชนเผ่าโรมันภายใต้การนำของจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้เข้าโจมตีและยึดดินแดนของชนเผ่า Helvetii และดินแดนส่วนอื่น ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมัน ช่วงนี้เองที่ได้เริ่มที่การก่อสร้างถนนหนทางและระบบผังเมืองขึ้นในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรก เช่น ในบริเวณเมืองบาเซิล, คูร์, เจนีวา, ซือริช ในปัจจุบัน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมือง Avenches

    ในช่วงปลายของยุคสมัยโรมัน ประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 4 ถึง 6 ศาสนาคริสต์ได้เผยแผ่เข้ามาในเขตประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ได้มีการตั้งตำแหน่งบิชอป ขึ้นตามเมืองต่าง ๆ และเชื่อกันว่าอาณาจักรโรมันก็ล่มสลายลงในช่วงนี้เอง[3]

    หลังจากที่อาณาจักรโรมันค่อย ๆ เริ่มเสื่อมลง พวกชาวเยอรมันเผ่าต่าง ๆ ก็อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเข้ามาในเขตนี้แทน[4] โดยชนเผ่าเบอร์กันดี เข้ามายึดครองบริเวณทางแถบ Jura ทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ บริเวณแม่น้ำโรน และทะเลสาบเจนีวา ส่วนพวกอลามานนิค ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไรน์ (Rhein) ส่วนการเผยแผ่ศาสนาก็ยังคงมีอยู่เรื่อย ๆ โดยพระนักสอนศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญในเขตเมืองต่าง ๆ รวมทั้งยังมีการสร้างวัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่เมืองซังคท์กัลเลิน และ ซือริช เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire ซึ่งอาณาจักรนี้เป็นอาณาจักรของจักรรรดิชาร์ลมาญแห่งเยอรมันหรือเรียกว่าเป็นอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชาติเยอรมัน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรโรมันในสมัยยุคก่อนประวัติศาสตร์แต่อย่างใด) ก็ได้มีการนำระบบกฎหมายต่าง ๆ เข้ามาใช้ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์[5] โดยมีการร่างสนธิสัญญาเวอร์ดัน ขึ้นใน ค.ศ. 834 โดยพื้นที่บริเวณตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ (Burgundain) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์โลทาร์ที่ 1 และทางด้านตะวันออก (Alamannic) อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ลุดวิจชาวเยอรมัน ในศตวรรษที่ 10 เมื่อระบบการปกครองแบบใช้กฎหมายเสื่อมลง พวกชนเผ่าแมกยาร์ (Magyar) ก็เข้ามาทำลายเมืองใหญ่ต่าง ๆ ของเผ่าเบอร์กันดี และ อลามันนิค แต่ต่อมาเมื่อกษัตริย์ออตโตที่ 1 ทำสงครามชนะพวกชนเผ่าแมกยาร์ใน ค.ศ. 955 ก็มีการรวมพื้นที่บริเวณของ 2 ชนเผ่าเข้าด้วยกันเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อีกครั้ง และยังได้มีการรวบรวมแคว้นต่าง ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อาณาจักรนี้ถูกปกครองโดยราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค (Habsburg dynasty) ไปจนกระทั่งกษัตริย์รูดอล์ฟ ที่ 1 แห่งราชวงศ์ฮาพส์บวร์คสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1291

    ยุคของอดีตสมาพันธรัฐสวิส

    ช่วงที่ถือได้ว่าเป็นช่วงของการก่อตั้งประเทศสวิตเซอร์แลนด์หรือสมาพันธรัฐสวิสอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 1291 เมื่อรัฐ 3 รัฐในเขตเทือกเขาแอลป์ คือ Uri, Schwyz และ Unterwalden ได้รวมตัวกันขึ้นเป็นอดีตสมาพันธรัฐสวิส (Old Swiss Conferderation หรือที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า Alte Eidgenossenschaft) ซึ่งการรวมกลุ่มนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อต้องการแยกออกเป็นประเทศ แต่เพียงเพื่อต้องการจะต่อต้านอำนาจของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก อย่างไรก็ตามการรวมกลุ่มครั้งนี้ไม่ได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ฮับส์บวร์กและมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ในปี1315 กลุ่มของชาวบ้านที่เป็นทหารของสวิสในสมัยนั้นก็ทำสงครามชนะทหารของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คในสงคราม Morgaten หลังจากนั้นเมือง Zürich, Lucerne, Glarus, Zug และ Bern ก็ได้เข้าร่วมเป็นอดีตสมาพันธรัฐสวิส และได้มีการเรียกชื่อกลุ่มการรวมตัวของรัฐ 8 รัฐนี้ว่า Schwyz ภายหลังจากการรวมตัวนี้แล้ว ก็ยังคงมีการรวมตัวของรัฐต่าง ๆ อยู่เรื่อย ๆ จนเมื่อสิ้นสุด ค.ศ. 1513 ก็มีรัฐเข้าร่วมทั้งหมด 13 รัฐ

    ภายหลังจากที่มีการรวมตัวกันใน ค.ศ. 1513 แล้ว ก็ยังคงมีการทำสงครามกันภายในพื้นที่ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในปัจุจบันอยู่เรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นสงครามทางศาสนา แต่สงครามที่ยาวนานที่สุด คือ สงคราม 30 ปี (Thirty Years´War ค.ศ. 1618-48) ซึ่งในช่วงแรกของสงครามนี้เป็นสงครามระหว่างศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกกับโปรแตสแตนท์ แต่ต่อมาสงครามได้ขยายวงกว้างไปเป็นสงครามการขยายอำนาจภายในทวีปยุโรป สงคราม 30 ปีสิ้นสุดลงเมื่อมีการประกาศสันติภาพ Peace of Westphalia และสืบเนื่องมาจาก Peace of Westphalia นี้เอง ประเทศสมาพันธรัฐสวิตเซอร์แลนด์ประกาศแยกตัวออกจากอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์อย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1648

    ในยุคที่ราชวงศ์ของฝรั่งเศสเริ่มเข้ามามีบทบาทในประวัติศาสตร์ยุโรป กองทัพของนโปเลียน (Napolean Bonaparte) ก็เข้าครอบครองสวิตเซอร์แลนด์และสถาปนาเป็นสาธารณรัฐเฮลเวติก ใน ค.ศ. 1798 ทำให้ดินแดนของสวิตเซอร์แลนด์ถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ต่อมาใน ค.ศ. 1803 ภายใต้การปกครองของนโปเลียนได้มีการรวบรวมรัฐต่าง ๆ ในสมาพันธรัฐสวิสอีกครั้งนอกจากนั้นยังได้สถาปนาเขต 6 เขต คือ ขึ้นเป็นรัฐใหม่ ใน ค.ศ. 1815 ได้มีการสถาปนาสมาพันธรัฐสวิสขึ้นมาใหม่ ที่คองเกรสแห่งเวียนนา (Congress of Vienna) ขึ้น โดยมีการเพิ่มจำนวนรัฐเข้าไปอีก 3 รัฐ ในคองเกรสนี้เองได้มีการลงนามให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่เป็นกลางทางการเมือง คือเป็นการประกาศว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นเส้นแบ่งเขตแดนไม่ให้มีการทำสงครามกันระหว่างฝรั่งเศส เยอรมนี และออสเตรีย และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใน ค.ศ. 1848 (Fereral Constitution) ซึ่งในรัฐธรรมนูญระบุให้เมือง Bern เป็นเมืองหลวงของสมาพันธรัฐ โดยมีภาษาที่ใช้เป็นภาษาทางการ 3 ภาษา คือ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอิตาลี

    ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางด้านการทหาร[6] บทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็คือการส่งสภากาชาดเข้ามาช่วยเหลือ เมื่อสงครามโลกผ่านพ้นไป กลิ่นอายแห่งสงครามกลับทำให้เศรษฐกิจของสวิตเซอร์แลนด์ตกต่ำลง[7] และเริ่มฟื้นฟูขึ้นใหม่ในช่วง ค.ศ. 1930 ยุคนี้ยังเป็นยุคแห่งการถือกำเนิดของศิลปินชื่อดังอีกด้วย ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 นครเจนีวาได้กลายเป็นที่ตั้งของสันนิบาตชาติ

    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงแม้ว่าประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะวางตัวเป็นกลาง นาซีเยอรมนีได้วางแผนที่จะยึดประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อเส้นทางในเทือกเขาแอลป์ระหว่างเยอรมนี-อิตาลี แต่ทางสวิตเซอร์แลนด์ได้ตักเตือนว่า ถ้ากองทัพเยอรมันบุกเข้ามายังสวิตเซอร์แลนด์ ประชาชนทั้งหมดจะลุกขึ้นต่อต้านอย่างถึงที่สุดเพราะประชาชนชาวสวิตนั้นได้เป็นทหารกันหมดแล้วและพร้อมจะระดมพลได้ทุกเมื่อ นอกจากนั้นจะระเบิดทำลายถนนเส้นทางอีกด้วย จึงทำให้นาซีเยอรมันต้องยกเลิกโจมตีไปทำให้สวิตเซอร์แลนด์สามารถรักษาความเป็นกลางและเอกราชไว้ได้ตลอดมาในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่สวิตเซอร์แลนด์กลับมีบทบาทสำคัญในทางด้านเศรษฐกิจในช่วงสงครามโลก​ครั้งที่สอง คือธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้กลายเป็นสถานที่เพื่อใช้แลกเปลี่ยนเงินผิดกฎหมายของพวกนาซีเยอรมัน

    ครั้งหนึ่ง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยมีความพยายามที่จะส่งกองทัพเยอรมันบุกสวิตเซอร์แลนด์[8] แม้สวิตเซอร์แลนด์จะประกาศความเป็นกลางมาหลายร้อยปีแล้วก็ตาม ปฏิบัติการดังกล่าว เรียกกันว่า Operation Tannenbaum มีความพยายามตั้งแต่ ค.ศ. 1940-1944 แต่ไม่เคยมีการบุกจริง มีเพียงความเห็นของฝั่งเยอรมนีที่มองว่า ระบอบการเมืองของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นพวกอนาธิปไตยที่น่ารังเกียจ และพวกเขาคืออีกหนึ่งศัตรูที่แท้จริงของเยอรมนี[9] เป็นสิวเสี้ยนบนใบหน้าของยุโรป และพวกเขาลืมไปแล้วพวกเขาคือส่วนหนึ่งของเรา (ชนเชื้อสายเยอรมันเป็นหนึ่งในเชื้อสายสำคัญของชาวสวิตเซอร์แลนด์) ในความเป็นจริง สวิตเซอร์แลนด์ก็มีการเตรียมรับมือกับเยอรมนีเช่นกัน เห็นได้จากค่าใช้จ่ายทางการทหารที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ภายหลังจากที่นาซีขึ้นครองอำนาจในเยอรมนีแล้วจาก 15 ล้านฟรังค์ เป็น 90 ล้านฟรังค์ อย่างไรก็ตาม การรบไม่เคยเกิดขึ้นจริง เนื่องจากสภาพภูมิประเทศในสวิตเซอร์แลนด์ที่ยากต่อการส่งกำลังรบ รวมทั้งความวุ่นวายในแนวรบอื่น ๆ อีกทั้งความไม่แน่นอนของอิตาลี ซึ่งต่อมาถูกกองกำลังสัมพันธมิตรบุกโจมตีจากทางใต้ ทำให้แผนการ Tannenbaum ถูกยกเลิกไปในที่สุด

    ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

    ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1945 ได้มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ ขึ้น โดยมีสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา และสำนักงานภาคพื้นยุโรปที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (ในอาคารที่เคยเป็นที่ตั้งของ สันนิบาตชาติ เดิม) ประเทศหลายประเทศได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาติแต่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นเจ้าบ้านกลับไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสมัยแรก เนื่องจากสวิตเซอร์แลนด์ยืนยันยึดมั่นในหลักการความเป็นกลางอย่างเคร่งครัด โดยองค์การสากลแห่งแรกที่สวิสเข้าร่วมเป็นสมาชิกภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 คือองค์การ UNESCO ซึ่งเข้าร่วมใน ค.ศ. 1948 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติเมื่อ ค.ศ. 2002 ต่อมาใน ค.ศ. 2005 ประชาชนชาวสวิตเซอร์แลนด์ได้ลงประชามติเพื่อให้ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นประเทศในสนธิสัญญาเช็งเก็น (Schengen Agreement)

    ตามข้อกำหนดในสนธิสัญญาเช็งเก็น นักท่องเที่ยวที่มีใบอนุญาตเช็งเก็น (Schengen Visa) แบบมัลติเพิลของประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มเช็งเก็นสามารถเดินทางเข้าออกประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มเช็งเก็นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าของประเทศนั้น ๆ ปัจจุบันประเทศในกลุ่มเช็งเก็นมีด้วยกันทั้งหมด 27 ประเทศรวมทั้ง ประเทศเบลเยียม, ประเทศฝรั่งเศส, ประเทศอิตาลี, ประเทศลักเซมเบิร์ก, ประเทศเนเธอร์แลนด์, ประเทศเดนมาร์ก, ประเทศกรีซ, ประเทศโปรตุเกส, ประเทศสเปน, ประเทศเยอรมนี, ประเทศออสเตรีย, ประเทศฟินแลนด์, ประเทศสวีเดน, ประเทศนอร์เวย์, ประเทศไอซ์แลนด์, ประเทศมอลตา, สาธารณรัฐเช็ก, ประเทศเอสโตเนีย, ประเทศฮังการี, ประเทศโปแลนด์, ประเทศสโลวาเกีย, ประเทศสโลวีเนีย, ประเทศลัตเวีย, ประเทศลิทัวเนีย ประเทศโมนาโก และ ประเทศโครเอเชีย

    "Switzerland's History". history-switzerland.geschichte-schweiz.ch. "Brief History of Switzerland". www.nationsonline.org. "Brief History of Switzerland". www.nationsonline.org. "Switzerland - History". Encyclopedia Britannica (ภาษาอังกฤษ). "Brief History of Switzerland". www.nationsonline.org. https://www.eda.admin.ch/dam/PRS-Web/en/dokumente/die-schweiz-in-der-zeit-der-weltkriege_EN.pdf Tourismus, Schweiz. "World War II". Switzerland Tourism (ภาษาอังกฤษ). Oord, Christian (2019-02-02). "To This Day, The Myth Still Abounds: Why Didn't The Germans Invade Switzerland?". WAR HISTORY ONLINE (ภาษาอังกฤษ). https://www.pbs.org/wgbh/pages/frontline/shows/nazis/readings/halbrook.html
    Read less

Where can you sleep near ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ?

Booking.com
486.706 visits in total, 9.181 Points of interest, 404 Destinations, 16 visits today.