ประเทศเบลเยียม
Context of ประเทศเบลเยียม
เบลเยียม (อังกฤษ: Belgium) หรือชื่อทางการว่า ราชอาณาจักรเบลเยียม (อังกฤษ: Kingdom of Belgium) เป็นประเทศในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และทะเลเหนือ มีพื้นที่ 30,689 ตารางกิโลเมตร (11,849 ตารางไมล์) และมีประชากรราว 11.5 ล้านคน ทำให้เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดอันดับที่ 22 ของโลก และเป็นอันดับที่ 6 ของยุโรป มีเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป และมีเมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ แอนต์เวิร์ป, เกนต์, ชาร์เลอรัว, ลีแยฌ, บรูช, นามูร์ และ เลอเฟิน
เบลเยียมมีระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญด้วยระบบรัฐสภา โดยแบ่งออกเป็นสามเขตการปกครองตนเองที่สำคัญ ได้แก่ แคว้นเฟลมิช (แฟลนเดอส์) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาดัตช์, วอลลูน (วอลโลเนีย) ทางทิศใต้ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส และแคว้นนครหลวงบรัสเซลส์ ซึ่งถือเป็นภูมิภาคที่เล็กที่สุดและมีความหนาแน่นประชากรสูงที่...อ่านต่อ
เบลเยียม (อังกฤษ: Belgium) หรือชื่อทางการว่า ราชอาณาจักรเบลเยียม (อังกฤษ: Kingdom of Belgium) เป็นประเทศในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และทะเลเหนือ มีพื้นที่ 30,689 ตารางกิโลเมตร (11,849 ตารางไมล์) และมีประชากรราว 11.5 ล้านคน ทำให้เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดอันดับที่ 22 ของโลก และเป็นอันดับที่ 6 ของยุโรป มีเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสหภาพยุโรป และมีเมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ แอนต์เวิร์ป, เกนต์, ชาร์เลอรัว, ลีแยฌ, บรูช, นามูร์ และ เลอเฟิน
เบลเยียมมีระบอบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญด้วยระบบรัฐสภา โดยแบ่งออกเป็นสามเขตการปกครองตนเองที่สำคัญ ได้แก่ แคว้นเฟลมิช (แฟลนเดอส์) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาดัตช์, วอลลูน (วอลโลเนีย) ทางทิศใต้ซึ่งประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาฝรั่งเศส และแคว้นนครหลวงบรัสเซลส์ ซึ่งถือเป็นภูมิภาคที่เล็กที่สุดและมีความหนาแน่นประชากรสูงที่สุด รวมทั้งเป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยที่สุดในแง่ของอัตราจีดีพีเฉลี่ย เบลเยียมเป็นที่ตั้งของประชาคมผู้ใช้ภาษาหลักสองภาษา ได้แก่ ประชาคมเฟลมิชที่พูดภาษาดัตช์ซึ่งมีประชากรร้อยละ 60 และประชาคมฝรั่งเศสซึ่งมีประมาณร้อยละ 40 นอกจากนี้ยังมีประชาคมภาษาเยอรมันกระจายตัวอยู่ในภูมิภาคตะวันออก ในขณะที่แคว้นบรัสเซลส์ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงใช้ทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาดัตซ์ แม้ภาษาฝรั่งเศสจะมีบทบาทเป็นภาษาหลัก ความขัดแย้งทางภาษาและวัฒนธรรมยังสะท้อนให้เห็นจากระบอบการปกครองที่ซับซ้อน จากการมีรัฐบาลย่อยหลายระดับซึ่งมีอำนาจหน้าที่แตกต่างกันตามรัฐธรรมนูญ
คำว่าเบลเยียม (Belgium ในภาษาอังกฤษ België และ Belgique ในภาษาดัตช์และฝรั่งเศส) มีที่มาจาก Gallia Belgica ซึ่งเป็นจังหวัดในยุคโรมัน มีกลุ่มชาว Belgae อยู่อาศัย และยังมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน โดยมีที่มาจากเหตุการณ์ สงครามกอล ซึ่งนำโดย จูเลียส ซีซาร์ เพื่อใช้เรียกพื้นที่ในละแวกนี้ในช่วง ค.ศ. 55 แผ่นดินของเบลเยียมที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันก่อตั้งขึ้นหลังการปฏิวัติเบลเยียม ใน ค.ศ. 1830 ภายหลังได้รับเอกราชจากเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ ค.ศ. 1815 เบลเยียมจัดอยู่ในกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ (Low Countries) เนื่องจากที่ตั้งของประเทศอยู่ในพื้นที่ ๆ ลาดต่ำมาก คือ ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตกาล บริเวณนี้เป็นภูมิภาคที่มีขนาดใหญ่เนื่องจากรวมพื้นที่ทางตอนเหนือของฝรั่งเศสเอาไว้ด้วย ตั้งแต่ยุคกลาง จุดศูนย์กลางในบริเวณนี้ตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำสายสำคัญหลายสายทำให้ประเทศเบลเยียมในยุคโบราณมีความเจริญรุ่งเรือง และสภาพที่ตั้งยังเป็นประโยชน์ในด้านการค้า และการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศเพื่อนบ้าน พื้นที่ของเบลเยียมยังถือเป็นสมรภูมิหลักของชาติต่าง ๆ ในการทำสงครามของยุโรป และได้รับสมญานามว่า "สนามรบแห่งยุโรป" โดยมีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 20 จากเหตุการณ์สงครามโลกทั้งสองครั้ง
เบลเยียมเข้าร่วมในการปฏิวัติอุตสาหกรรม และในช่วงศตวรรษที่ 20 ได้ครอบครองอาณานิคมจำนวนมากในทวีปแอฟริกา ระหว่าง ค.ศ. 1888 ถึง ค.ศ. 1908 สมเด็จพระเจ้าเลออปอลที่ 2 ได้ใช้กำลังทหารเข้ายึดครองรัฐอิสระคองโก (ปัจจุบันคือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก) โดยมีจุดประสงค์เพื่อครอบครองทรัพยากรสำคัญได้แก่ งาช้าง และ ยางพารา และได้ปกครองผู้คนด้วยความทารุณ ทรงใช้กำลังทหารรับจ้างเพื่อประโยชน์ส่วนพระองค์ สังหารแรงงานทาสไปมากมาย และนำไปสู่การเสียชีวิตครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ประมาณการจำนวนผู้เสียชีวิตไม่เป็นที่แน่ชัด แต่เป็นที่คาดการณ์กันว่า ตลอดการปกครองของพระองค์ ได้คร่าชีวิตผู้คนนับล้านคน ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เบลเยียมต้องเผชิญความขัดแย้งที่สำคัญระหว่างประชากรที่พูดภาษาดัตซ์ และกลุ่มที่พูดภาษาฝรั่งเศส ก่อให้เกิดความแตกแยกทางภาษาและวัฒนธรรม มูลเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งคือความไม่เท่าเทียมกันในการพัฒนาเศรษฐกิจของแคว้นเฟลมิชและวอลลูน ความขัดแย้งก่อให้เกิดการปฏิรูปสำคัญหลายครั้ง นำไปสู่การกลายสภาพจากรัฐเดี่ยวเป็นระบอบสหพันธรัฐในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1970–1993 กระนั้น ความขัดแย้งดังกล่าวยังคงอยู่โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ภาษาเฟลมิช การจัดตั้งรัฐบาลผสมซึ่งใช้เวลากว่า 18 เดือนนับจากการเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2010 ถือเป็นสถิติโลก อัตราการว่างงานในแคว้นวอลลูนมากเป็นสองเท่าของเฟลมิชซึ่งเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
เบลเยียมเป็นหนึ่งในหกประเทศผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรป และกรุงบรัสเซลส์ถูกใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมสำคัญระดับทวีปที่สำคัญหลายครั้ง เช่น การประชุมของคณะกรรมาธิการยุโรป สภาสหภาพยุโรป และสภายุโรป รวมทั้งเป็นหนึ่งในสองเมืองหลักที่ใช้สำหรับการประชุมรัฐสภายุโรป (อีกแห่งคือสตราสบูร์ก) เบลเยียมยังเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งของยูโรโซน เนโท องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ และ องค์การการค้าโลก และเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพเบเนลักซ์ไตรภาคีและพื้นที่เชงเกน กรุงบรัสเซลส์ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ขององค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญ เช่น เนโท
เบลเยียมเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจสูงที่สุดชาติหนึ่ง โดยประชากรมีรายได้ที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีจากระบบสวัสดิการที่ทันสมัย เช่น การสาธารณสุข การศึกษา สาธารณูปโภค และมีดัชนีการพัฒนามนุษย์ในระดับสูง รวมทั้งเป็นหนึ่งในประเทศทีได้รับการจัดอันดับให้มีความปลอดภัยมากที่สุด โดยมีอัตราการเกิดอาชญากรรมในระดับต่ำ
More about ประเทศเบลเยียม
- Currency ยูโร
- Calling code +32
- Internet domain .be
- Mains voltage 230V/50Hz
- Democracy index 7.51
- Population 11584008
- Area 30528
- Driving side right
- ดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์เบลเยียมยุคก่อนประวัติศาสตร์
มีหลักฐานการดำรงอยู่ของชุมชนโบราณมานานมากกว่า 2,000 ปีโดยขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และภาพเขียนโบราณในถ้ำตอนกลางของประเทศริมฝั่งแม่น้ำเมิซ (la Meuse)
ในปีพ.ศ. 600 จูเลียส ซีซาร์ขยายอำนาจของจักรวรรดิโรมันมายังดินแดนเบลเยียมปัจจุบัน โดยเอาชนะชนเผ่าเคลต์ที่ชื่อเบลไก (Belgae) และก่อตั้งเป็นมณฑลแกลเลียเบลจิกา ส่วนบริเวณทางตะวันออกเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเกร์มาเนียอินเฟรีออร์ ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 จักรวรรดิโรมันตะวันตกผู้ปกครองล่มสลาย ดินแดนแถบนี้ก็ตกไปอยู่ในการควบคุมของชนเผ่าแฟรงก์ ก่อตั้งราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง[1] และจักรวรรดิการอแล็งเฌียงเรืองอำนาจทางตอนเหนือของฝรั่งเศสในปัจจุบัน พระเจ้าโคลวิสที่ 1 ทรงรับคริสต์ศาสนาเข้ามาสู่อาณาจักร หลังจากยุคของโคลวิสแล้ว อาณาจักรของพวกแฟรงก์ก็เริ่มแตก จนกระทั่งถึงยุคของพระเจ้าชาร์เลอมาญ ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปีพ.ศ. 1311 จนถึง 1357 ซึ่งได้รวบรวมอาณาจักรแฟรงก์ ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรป
ยุคกลางหลังจากพระเจ้าชาร์เลอมาญสิ้นพระชนม์ อาณาจักรก็ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนเมื่อ พ.ศ. 1386 เกิดเป็นอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก อาณาจักรกลาง และอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก พื้นที่ส่วนใหญ่ของเบลเยียมปัจจุบันเป็นของพระเจ้าโลแทร์ ซึ่งปกครองอาณาจักรกลางในชื่ออาณาจักรโลทริงเงิน ในขณะที่ส่วนที่เหลือขนาดเล็กทางตะวันตกตกเป็นของอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก(ฝรั่งเศสในปัจจุบัน) อาณาจักรกลางภายหลังตกไปอยู่ภายใต้กษัตริย์เยอรมันของอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก ดินแดนเบลเยียมถูกแบ่งออกเป็นรัฐขุนนางเล็ก ๆ จำนวนมาก ซึ่งต่อมารวบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเบอร์กันดี หลังจากการอภิเษกสมรสของพระนางแมรีแห่งเบอร์กันดีกับเจ้าชายมักซิมิลันจากราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ซึ่งต่อมาขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนเบลเยียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ในฐานะกลุ่มสิบเจ็ดมณฑลได้ตกทอดไปถึงพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสเปน (จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) พระนัดดาของพระเจ้ามักซิมิลัน
...อ่านต่อRead lessดูบทความหลักที่: ประวัติศาสตร์เบลเยียมยุคก่อนประวัติศาสตร์มีหลักฐานการดำรงอยู่ของชุมชนโบราณมานานมากกว่า 2,000 ปีโดยขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และภาพเขียนโบราณในถ้ำตอนกลางของประเทศริมฝั่งแม่น้ำเมิซ (la Meuse)
ในปีพ.ศ. 600 จูเลียส ซีซาร์ขยายอำนาจของจักรวรรดิโรมันมายังดินแดนเบลเยียมปัจจุบัน โดยเอาชนะชนเผ่าเคลต์ที่ชื่อเบลไก (Belgae) และก่อตั้งเป็นมณฑลแกลเลียเบลจิกา ส่วนบริเวณทางตะวันออกเป็นส่วนหนึ่งของมณฑลเกร์มาเนียอินเฟรีออร์ ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 10 จักรวรรดิโรมันตะวันตกผู้ปกครองล่มสลาย ดินแดนแถบนี้ก็ตกไปอยู่ในการควบคุมของชนเผ่าแฟรงก์ ก่อตั้งราชวงศ์เมรอแว็งเฌียง[1] และจักรวรรดิการอแล็งเฌียงเรืองอำนาจทางตอนเหนือของฝรั่งเศสในปัจจุบัน พระเจ้าโคลวิสที่ 1 ทรงรับคริสต์ศาสนาเข้ามาสู่อาณาจักร หลังจากยุคของโคลวิสแล้ว อาณาจักรของพวกแฟรงก์ก็เริ่มแตก จนกระทั่งถึงยุคของพระเจ้าชาร์เลอมาญ ซึ่งครองราชย์ตั้งแต่ปีพ.ศ. 1311 จนถึง 1357 ซึ่งได้รวบรวมอาณาจักรแฟรงก์ ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรป
ยุคกลางหลังจากพระเจ้าชาร์เลอมาญสิ้นพระชนม์ อาณาจักรก็ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนเมื่อ พ.ศ. 1386 เกิดเป็นอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก อาณาจักรกลาง และอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก พื้นที่ส่วนใหญ่ของเบลเยียมปัจจุบันเป็นของพระเจ้าโลแทร์ ซึ่งปกครองอาณาจักรกลางในชื่ออาณาจักรโลทริงเงิน ในขณะที่ส่วนที่เหลือขนาดเล็กทางตะวันตกตกเป็นของอาณาจักรแฟรงก์ตะวันตก(ฝรั่งเศสในปัจจุบัน) อาณาจักรกลางภายหลังตกไปอยู่ภายใต้กษัตริย์เยอรมันของอาณาจักรแฟรงก์ตะวันออก ดินแดนเบลเยียมถูกแบ่งออกเป็นรัฐขุนนางเล็ก ๆ จำนวนมาก ซึ่งต่อมารวบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเบอร์กันดี หลังจากการอภิเษกสมรสของพระนางแมรีแห่งเบอร์กันดีกับเจ้าชายมักซิมิลันจากราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ซึ่งต่อมาขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ดินแดนเบลเยียมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์ในฐานะกลุ่มสิบเจ็ดมณฑลได้ตกทอดไปถึงพระเจ้าชาลส์ที่ 1 แห่งสเปน (จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) พระนัดดาของพระเจ้ามักซิมิลัน
ในรัชสมัยของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 แห่งสเปน พระราชโอรสของพระเจ้าชาลส์ ได้เกิดความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ โดยพระเจ้าเฟลิเปพยายามที่จะปราบปรามนิกายโปรเตสแตนต์ ดินแดนทางตอนเหนือซึ่งสนับสนุนนิกายโปรเตสแตนต์ได้รวมตัวกันเป็นสาธารณรัฐดัตช์ ในขณะที่ดินแดนทางใต้ ประกอบด้วยเบลเยียมและลักเซมเบิร์กในปัจจุบัน ยังอยู่ภายใต้การปกครองของสเปน เรียกชื่อว่าเนเธอร์แลนด์ใต้
ต่อมาเบลเยียมได้เปลี่ยนมือจากสเปนไปยังออสเตรีย ในช่วงที่ฝรั่งเศสขึ้นเป็นมหาอำนาจในยุโรปราวคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 พื้นที่ประเทศต่ำได้เป็นสนามรบหลายครั้ง อาทิ สงครามฝรั่งเศส-เนเธอร์แลนด์ สงครามเก้าปี สงครามสืบราชบัลลังก์สเปน สงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย จนกระทั่งหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 1ได้ยึดเบลเยียมในปี พ.ศ. 2338 ยุติการปกครองของสเปนและออสเตรียในบริเวณนี้ หลังจากการสิ้นสุดของจักรวรรดิฝรั่งเศสของนโปเลียน กลุ่มประเทศต่ำได้แก่ เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์กได้รวมกันอีกครั้งเป็นสหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2358
การปฏิวัติเบลเยียมดูบทความหลักที่: การปฏิวัติเบลเยียมความแตกต่างด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ นิกายศาสนา และวัฒนธรรมกับเนเธอร์แลนด์ผู้ปกครอง นำไปสู่การปฏิวัติในเบลเยียมในปี พ.ศ. 2373 ก่อตั้งเป็นรัฐเอกราช ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ เป็นกลางทางการเมือง และเลือกเจ้าชายเลโอโปลด์จากราชวงศ์แซ็กซ์-โคบูร์กและโกธา ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 1 เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2374 โดยมีการปกครองในระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญและประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เป็นวันชาติของเบลเยียมนับตั้งแต่นั้นมา
เบลเยียมได้รับคองโกเป็นอาณานิคมในปี พ.ศ. 2428 จากที่เคยเป็นดินแดนส่วนพระองค์ของสมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 2 แต่การปกครองคองโกของพระเจ้าโลโอโปลด์ที่ 2 เป็นไปอย่างโหดร้าย กดขี่ใช้แรงงานชาวอาณานิคมอย่างหนักเพื่อสร้างความมั่งคั่งจากการค้างาช้างและผลิตยาง ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิตหลายล้านคน กลายมาเป็นกรณีอื้อฉาวระหว่างประเทศที่เสื่อมเสียอย่างมาก ชาวอาณานิคมต่อต้านอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดพระองค์ทรงถูกบีบให้ยกเลิกและโอนการควบคุมคองโกรัฐบาลเบลเยียม ก่อตั้งเป็นเบลเจียนคองโกเมื่อ พ.ศ. 2451
เยอรมนีเข้ารุกรานเบลเยียมในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเพื่อเปิดเส้นทางสู่การบุกฝรั่งเศส ในช่วงนี้เบลเยียมเข้าครอบครองรวันดา-อุรุนดี (ปัจจุบันคือประเทศรวันดาและบุรุนดี) ซึ่งเป็นอาณานิคมของเยอรมนีในช่วงสงคราม หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเยอรมนี สันนิบาตชาติรับรองให้รวันดา-อุรุนดีอยู่ภายใต้การปกครองของเบลเยียม ต่อมาเบลเยียมถูกรุกรานจากเยอรมนีอีกครั้งในสงครามโลกครั้งที่สอง จนกระทั่งถูกปลดปล่อยโดยกองทัพสัมพันธมิตร หลังสงครามสงบเกิดการประท้วงนัดหยุดงานครั้งใหญ่ในเบลเยียมเมื่อปี พ.ศ. 2493 กดดันให้สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียมทรงสละราชสมบัติเนื่องจากมองว่าพระองค์ให้ความร่วมมือกับเยอรมนีในช่วงถูกปกครอง พระองค์จึงทรงสละราชสมบัติให้กับสมเด็จพระราชาธิบดีโบดวง พระราชโอรสในปีต่อมา
คองโกได้รับเอกราชในปีพ.ศ. 2503 ในขณะที่รวันดา-อุรุนดีได้รับในอีกสองปีถัดมา หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เบลเยียมเข้าร่วมนาโต ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ที่บรัสเซลส์ และจัดตั้งกลุ่มเบเนลักซ์ร่วมกับเนเธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์ก[1] เบลเยียมเป็นหนึ่งในหกสมาชิกก่อตั้งของประชาคมถ่านหินและเหล็กยุโรปในปีพ.ศ. 2494 และในปีพ.ศ. 2500 ก่อตั้งประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรปและประชาคมเศรษฐกิจยุโรป ซึ่งต่อมาคือสหภาพยุโรป เบลเยียมเป็นที่ตั้งของหน่วยงานหลายอย่างของสหภาพ เช่น คณะกรรมาธิการยุโรป คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป เป็นต้น
↑ 1.0 1.1 "History of Belgium". Visit Belgium. สำนักงานท่องเที่ยวเบลเยียมในทวีปอเมริกา. © 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-08-10. สืบค้นเมื่อ 26 ก.ค. 2550. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= และ |year= (help)(อังกฤษ)