कोणार्क सूर्य मंदिर
( โกณารักสูรยมนเทียร )โกณารักสุรยมนเทียร (โอเดีย: କୋଣାର୍କ ସୂର୍ଯ୍ୟ ମନ୍ଦିର; Konark Surya Mandir) หรือ เทวสถานพระอาทิตย์โกณารัก (Konark Sun Temple) เป็นมนเทียรบูชาพระสูรยะ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ตั้งอยู่ที่เมืองโกณารัก ราว 35 กิโลเมตร (22 ไมล์) ทางนะวันออกเฉียงเหนือของปุรี บนชายฝั่งของรัฐโอฑิศา ประเทศอินเดีย ผู้มีดำรัสสร้างคือพระเจ้านรสิงหเทวะที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิคงคาตะวันออก ในราวปี 1250
หนึ่งลงในสิ่งก่อสร้างที่ยังคงเหลือในหมู่อาคารคือสูรยรถ (ราชรถพระสูรยะ) ความสูง 100-ฟุต (30-เมตร) ที่ซึ่งมีล้อและม้าสลักจากหินขนาดใหญ่ ที่ซึ่งในอดีตเคยมีความสูงถึง 200 ฟุต (61 เมตร) ปัจจุบันส่วนใหญ่ของหมู่อาคารเหลือเพียงซากปรักหักพัง โดยเฉพาะศิขรเหนือมนเทียรหลัก ที่ซึ่งในอดีตเคยสูงกว่ามณฑปที่เหลืออยู่ สิ่งก่อสร้างและองค์ประกอบที่เหลืออยู่แสดงให้เห็นถึงงานศิลปะ ประติมานวิทยา และการแกะสลักที่วิจิตรตระการตา เช่นฉากที่แสดง กามะ และ มิถุน ในรูปอีโรติก อีกชื่อหนึ่งของมนเทียรนี้คือ สูรยเทวาลัย สถาปัตยกรรมของสูรยเทวาลัยนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของแบบโอฑิศา ที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมกลึง...อ่านต่อ
โกณารักสุรยมนเทียร (โอเดีย: କୋଣାର୍କ ସୂର୍ଯ୍ୟ ମନ୍ଦିର; Konark Surya Mandir) หรือ เทวสถานพระอาทิตย์โกณารัก (Konark Sun Temple) เป็นมนเทียรบูชาพระสูรยะ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ตั้งอยู่ที่เมืองโกณารัก ราว 35 กิโลเมตร (22 ไมล์) ทางนะวันออกเฉียงเหนือของปุรี บนชายฝั่งของรัฐโอฑิศา ประเทศอินเดีย ผู้มีดำรัสสร้างคือพระเจ้านรสิงหเทวะที่หนึ่งแห่งจักรวรรดิคงคาตะวันออก ในราวปี 1250
หนึ่งลงในสิ่งก่อสร้างที่ยังคงเหลือในหมู่อาคารคือสูรยรถ (ราชรถพระสูรยะ) ความสูง 100-ฟุต (30-เมตร) ที่ซึ่งมีล้อและม้าสลักจากหินขนาดใหญ่ ที่ซึ่งในอดีตเคยมีความสูงถึง 200 ฟุต (61 เมตร) ปัจจุบันส่วนใหญ่ของหมู่อาคารเหลือเพียงซากปรักหักพัง โดยเฉพาะศิขรเหนือมนเทียรหลัก ที่ซึ่งในอดีตเคยสูงกว่ามณฑปที่เหลืออยู่ สิ่งก่อสร้างและองค์ประกอบที่เหลืออยู่แสดงให้เห็นถึงงานศิลปะ ประติมานวิทยา และการแกะสลักที่วิจิตรตระการตา เช่นฉากที่แสดง กามะ และ มิถุน ในรูปอีโรติก อีกชื่อหนึ่งของมนเทียรนี้คือ สูรยเทวาลัย สถาปัตยกรรมของสูรยเทวาลัยนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของแบบโอฑิศา ที่เรียกว่าสถาปัตยกรรมกลึงคะ
สิ่งที่ทำให้สูรยเทวาลัยถูกทำลายจนเหลือเพียงทุกวันนี้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์และยังคงเป็นที่ถกเถียง มีผู้เสนอแนวคิดตั้งแต่ผลจากภัยพิบัติทางธรรมชาติไปจนถึงการทำลายของกองทัพมุสลิมในศตวรรษที่ 15 ถึง 17 นักเดินทางชาวยุโรปได้เรียกเทวาลัยนี้ว่า "เจดีย์ดำ" (Black Pagoda) มีหลักฐานเก่าแก่ถึงปี 1676 ด้วยหอหลักเป็นสีดำ ควบคู่ไปกับชคันนาถเทวาลัยที่ปุรีซึ่งถูกเรียกว่า "เจดีย์ขาว" (White Pagoda) เจดีย์ทั้งสองนี้เป็นจุดสังเกตสำคัญของผู้ล่องเรือมาตามอ่าวเบงกอล
หมู่เทวาลัยที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะบางส่วนโดยนักโบราณคดีชาวบริเตนในยุคอาณานิคม ในปี 1984 สูรยเทวาลัยโกณารักได้รับการยกย่องเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก ในปัจจุบันที่นี่ยังคงเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญสำคัญของชาวฮินดูและเป็นหนึ่งในจุดหมายของเส้นทางจาริกที่มีขึ้นทุก ๆ ปีที่เรียกว่า จันทรภาคเมลา ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
แสดงความเห็น