Context of ประเทศยูเครน

ยูเครน (อังกฤษ: Ukraine; ยูเครน: Украї́на, อักษรโรมัน: Ukraïna, ออกเสียง: [ʊkrɐˈjinɐ] ( ฟังเสียง)) เป็นประเทศหนึ่งในยุโรปตะวันออก เป็นประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในยุโรปรองจากรัสเซียซึ่งยูเครนมีอาณาเขตติดต่อทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ยังมีอาณาเขตติดต่อกับเบลารุสทางทิศเหนือ ติดต่อกับโปแลนด์ สโลวาเกีย และฮังการีทางทิศตะวันตก ติดต่อกับโรมาเนียและมอลโดวาทางทิศใต้ และมีแนวชายฝั่งจรดทะเลอะซอฟและทะเลดำ ยูเครนมีเนื้อที่ 603,628 ตารางกิโลเมตร (233,062 ตารางไมล์) มีประชากรประมาณ 41.3 ล้านคน และเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในยุโรป เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือเคียฟ (กือยิว) ภาษาราชการคือภาษายูเครน และประชากรส่วนมากสามารถสื่อสารภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว

ดินแดนที่เป็นประเทศยูเครนสมัยใหม่มีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ 32,000 ปีก่อนค...อ่านต่อ

ยูเครน (อังกฤษ: Ukraine; ยูเครน: Украї́на, อักษรโรมัน: Ukraïna, ออกเสียง: [ʊkrɐˈjinɐ] ( ฟังเสียง)) เป็นประเทศหนึ่งในยุโรปตะวันออก เป็นประเทศที่มีเนื้อที่มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในยุโรปรองจากรัสเซียซึ่งยูเครนมีอาณาเขตติดต่อทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ยังมีอาณาเขตติดต่อกับเบลารุสทางทิศเหนือ ติดต่อกับโปแลนด์ สโลวาเกีย และฮังการีทางทิศตะวันตก ติดต่อกับโรมาเนียและมอลโดวาทางทิศใต้ และมีแนวชายฝั่งจรดทะเลอะซอฟและทะเลดำ ยูเครนมีเนื้อที่ 603,628 ตารางกิโลเมตร (233,062 ตารางไมล์) มีประชากรประมาณ 41.3 ล้านคน และเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 8 ในยุโรป เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศคือเคียฟ (กือยิว) ภาษาราชการคือภาษายูเครน และประชากรส่วนมากสามารถสื่อสารภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว

ดินแดนที่เป็นประเทศยูเครนสมัยใหม่มีผู้คนอยู่อาศัยมาตั้งแต่ 32,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ในสมัยกลาง พื้นที่นี้เป็นศูนย์กลางสำคัญแห่งหนึ่งของวัฒนธรรมสลาฟตะวันออก โดยมีสหพันธ์เผ่าชนแห่งรุสเคียฟก่อตัวเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ยูเครน หลังจากที่รุสเคียฟแตกออกเป็นหลายราชรัฐในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ประกอบกับหายนะที่เกิดจากการรุกรานของจักรวรรดิมองโกล ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของดินแดนก็เสื่อมสลายและบริเวณนี้ก็ถูกแย่งชิง แบ่งแยก และปกครองโดยมหาอำนาจต่าง ๆ ซึ่งได้แก่เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย จักรวรรดิออสเตรีย–ฮังการี จักรวรรดิออตโตมัน และอาณาจักรซาร์รัสเซีย รัฐผู้บัญชาการคอสแซ็กของชาวยูเครนปรากฏขึ้นและเจริญรุ่งเรืองในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 แต่ในที่สุดดินแดนของรัฐนี้ก็ถูกแบ่งกันระหว่างโปแลนด์–ลิทัวเนียกับจักรวรรดิรัสเซีย ต่อมาเกิดขบวนการชาตินิยมยูเครนขึ้นเป็นผลสืบเนื่องจากการปฏิวัติรัสเซียและมีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนยูเครนเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ค.ศ. 1917 โดยได้รับการรับรองจากนานาชาติ ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ส่วนตะวันตกของยูเครนได้รวมเข้ากับสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครนและทั้งประเทศก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต ยูเครนได้รับเอกราชหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตใน ค.ศ. 1991

หลังจากที่ได้รับเอกราช ยูเครนประกาศตนเป็นรัฐที่เป็นกลาง โดยจัดตั้งความร่วมมือทางการทหารอย่างจำกัดกับรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ในเครือรัฐเอกราช ในขณะเดียวกันก็สถาปนาความเป็นหุ้นส่วนกับองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือใน ค.ศ. 1994 ใน ค.ศ. 2013 หลังจากที่รัฐบาลของประธานาธิบดีวิกตอร์ ยานูกอวึช ตัดสินใจระงับความตกลงสมาคมระหว่างยูเครนกับสหภาพยุโรปและแสวงหาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัสเซีย คลื่นการเดินขบวนและการประท้วงที่รู้จักกันในชื่อยูโรไมดานก็เริ่มขึ้นและกินเวลานานหลายเดือนจนกระทั่งบานปลายเป็นการปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรีซึ่งนำไปสู่การโค่นอำนาจยานูกอวึชและการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เหตุการณ์เหล่านี้กลายเป็นภูมิหลังของการผนวกไครเมียเข้ากับรัสเซียในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 และสงครามในดอนบัสในเดือนเมษายน ปีเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ยูเครนได้เริ่มใช้ข้อตกลงการค้าเสรีเชิงลึกและครอบคลุมกับสหภาพยุโรปมาตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2016

ยูเครนเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่มีดัชนีการพัฒนามนุษย์อยู่ในอันดับที่ 77 เป็นหนึ่งในประเทศที่ยากจนที่สุดในยุโรป โดยประสบปัญหาความยากจนและการทุจริตในตำแหน่งหน้าที่ในอัตราสูงมาก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีพื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์และกว้างขวาง ยูเครนจึงเป็นหนึ่งในผู้ส่งธัญพืชออกรายใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีกองทัพที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ในยุโรปรองจากรัสเซียและฝรั่งเศส ยูเครนเป็นสาธารณรัฐเดี่ยวภายใต้ระบบกึ่งประธานาธิบดีโดยแบ่งแยกอำนาจออกเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ประเทศนี้เป็นสมาชิกของสหประชาชาติ สภายุโรป องค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป องค์การกวามเพื่อประชาธิปไตยและการพัฒนาเศรษฐกิจ และสามเหลี่ยมลูบลิน และเป็นหนึ่งในรัฐผู้ก่อตั้งเครือรัฐเอกราชแม้ว่าจะไม่เคยเป็นสมาชิกขององค์การนี้ก็ตาม

More about ประเทศยูเครน

Basic information
Population, Area & Driving side
  • Population 41167335
  • Area 603550
  • Driving side right
ประวัติ
  • ยุครุ่งเรืองแห่งเคียฟ
    ดูบทความหลักที่: จักรวรรดิรุสเคียฟ

    นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าชาว Nomad โดยเฉพาะชาวไซเทีย เป็นพวกแรกที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งในยูเครนในช่วงก่อนคริสตกาล หลังจากนั้น ชาวเผ่าสลาฟได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลางและตะวันออกของยูเครน อย่างไรก็ดี ชนชาติสำคัญที่มีบทบาทในการรวบรวมดินแดนบริเวณนี้ให้เป็นปึกแผ่นคือชาวรุส (Rus) ที่มาจากสแกนดิเนเวีย โดยต่อมาชาวรุสได้สถาปนาจักรวรรดิรุสเคียฟขึ้นในศตวรรษที่ 6 และปกครองชาวสลาฟที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ และต่อมาได้ขยายดินแดนออกไปรวบรวมเผ่าสลาฟและชนชาติต่าง ๆ จนเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในศตวรรษที่ 11 แต่ในศตวรรษที่ 12 อาณาจักรนี้ได้เสื่อมสลายลง เนื่องจากสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ และการรุกรานจากชาวมองโกลในศตวรรษต่อมา หลังจากนั้น ดินแดนบางส่วนของยูเครนได้ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรต่าง ๆ เช่น ลิทัวเนีย โปแลนด์ ออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิรัสเซีย

    ...อ่านต่อ
    ยุครุ่งเรืองแห่งเคียฟ
    ดูบทความหลักที่: จักรวรรดิรุสเคียฟ

    นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าชาว Nomad โดยเฉพาะชาวไซเทีย เป็นพวกแรกที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งในยูเครนในช่วงก่อนคริสตกาล หลังจากนั้น ชาวเผ่าสลาฟได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณตอนกลางและตะวันออกของยูเครน อย่างไรก็ดี ชนชาติสำคัญที่มีบทบาทในการรวบรวมดินแดนบริเวณนี้ให้เป็นปึกแผ่นคือชาวรุส (Rus) ที่มาจากสแกนดิเนเวีย โดยต่อมาชาวรุสได้สถาปนาจักรวรรดิรุสเคียฟขึ้นในศตวรรษที่ 6 และปกครองชาวสลาฟที่อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ และต่อมาได้ขยายดินแดนออกไปรวบรวมเผ่าสลาฟและชนชาติต่าง ๆ จนเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในศตวรรษที่ 11 แต่ในศตวรรษที่ 12 อาณาจักรนี้ได้เสื่อมสลายลง เนื่องจากสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ และการรุกรานจากชาวมองโกลในศตวรรษต่อมา หลังจากนั้น ดินแดนบางส่วนของยูเครนได้ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรต่าง ๆ เช่น ลิทัวเนีย โปแลนด์ ออสเตรีย-ฮังการี จักรวรรดิรัสเซีย

    คริสต์ศตวรรษที่ 19 และคริสต์ศตวรรษที่ 20
    ดูบทความหลักที่: การปฏิวัติรัสเซีย และ สงครามกลางเมืองรัสเซีย

    ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยูเครนได้ประกาศเอกราชจากจักรวรรดิรัสเซียและราชวงศ์ฮับสบวร์กเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1918 แต่ต่อมากระแสการปฏิวัติในรัสเซียได้ลุกลามมายังยูเครน ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองและสงครามประกาศเอกราชขึ้น เกิดการก่อตั้งรัฐเอกราชยูเครนในช่วงระยะสั้น ๆ สมัยต่าง ๆ ดังนี้ สาธารณรัฐประชาชนยูเครน, สาธารณรัฐประชาชนยูเครนตะวันตก และ รัฐยูเครน

    สมัยระหว่างสงครามของสาธารณรัฐยูเครน
    ดูเพิ่มที่: ฮอลอดอมอร์
     
    ชายผู้ประสบทุพภิกขภัยบนถนนในคาร์กิว ใน ค.ศ. 1933 นโยบายนารวมและการริบพืชผลของประชากรโดยทางการสหภาพโซเวียตได้นำไปสู่ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ในสาธารณรัฐยูเครน ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ฮอลอดอมอร์

    สงครามกลางเมืองรัสเซียได้ทำลายล้างจักรวรรดิรัสเซียทั้งหมดซึ่งรวมถึงภาคกลางและภาคตะวันออกของยูเครน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1.5 ล้านคน และประชากรอีกหลายแสนคนต้องไร้ที่อยู่อาศัยในดินแดนของอดีตจักรวรรดิรัสเซีย สาธารณรัฐยูเครนยังต้องเผชิญกับทุพภิกขภัยในรัสเซียใน ค.ศ. 1921 (โดยส่วนใหญ่จะเกิดผลกระทบในภูมิภาควอลกา–ยูรัล)[1][2] ในคริสต์ทศวรรษ 1920[3] มือกอลา สกรึปนึก ผู้นำคอมมิวนิสต์แห่งชาติ ได้ดำเนินนโยบายการทำให้เป็นยูเครนซึ่งสนับสนุนให้มีการฟื้นฟูวัฒนธรรมยูเครนและภาษายูเครน นโยบายการทำให้เป็นยูเครนเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายโคเรนีซัตซียาซึ่งเป็นนโยบายที่ใช้ทั่วทั้งสหภาพโซเวียต ด้วยรูปแบบเศรษฐกิจที่ได้รับการวางแผนมาจากรัฐบาลกลาง สาธารณรัฐยูเครนจึงได้เข้าร่วมแผนการปรับให้เป็นอุตสาหกรรมตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1920 ทำให้ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 4 เท่าในคริสต์ทศวรรษ 1930

    ในช่วงต้นสมัยโซเวียต เกษตรกรยูเครนได้รับผลกระทบจากโครงการรวมที่นาสำหรับพืชผลทางการเกษตร นโยบายรวมที่นาเป็นส่วนหนึ่งของแผนห้าปีฉบับที่หนึ่งโดยมีกองกำลังประจำการและหน่วยตำรวจลับที่รู้จักกันในชื่อเชการ์เป็นผู้บังคับใช้ ผู้ที่ต่อต้านจะถูกจับกุมและถูกเนรเทศไปยังค่ายกูลักและค่ายแรงงาน เนื่องจากในบางครั้ง เกษตรกรนารวมจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับเมล็ดพืชใด ๆ จนกว่าจะผลิตได้ถึงโควตาที่เป็นไปได้ยาก ประชากรหลายล้านคนจึงต้องอดอยากจนเสียชีวิตในทุพภิกขภัยที่รู้จักกันในชื่อ "ฮอลอดอมอร์" หรือ "ทุพภิกขภัยครั้งใหญ่" ซึ่งบางประเทศได้รับรองว่าเป็นพันธุฆาตที่โจเซฟ สตาลิน และบุคคลสำคัญคนอื่น ๆ ของสหภาพโซเวียตก่อขึ้น[4] กลุ่มเดียวกันนี้ส่วนใหญ่ยังมีส่วนรับผิดชอบในปฏิบัติการสังหารหมู่ในช่วงสงครามกลางเมือง การรวมที่นา และการกวาดล้างใหญ่[5]

    สงครามโลกครั้งที่ 2
    ดูบทความหลักที่: สงครามโลกครั้งที่ 2, วันแห่งชัยชนะ (ยุโรปตะวันออก) และ แนวรบด้านตะวันออก (สงครามโลกครั้งที่สอง)

    ในช่วงแรกของสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยูเครนให้การสนับสนุนกองทัพนาซีเยอรมันเพื่อเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต แต่ต่อมาได้หันไปต่อต้าน เนื่องจากกองทัพนาซีเยอรมันที่ปกครองอย่างกดขี่ และ ทารุณ โดยในช่วงดังกล่าว ชาวยิวในยูเครนกว่า 1 ล้านคนถูกสังหารหมู่ และ เคียฟ ถูกเผาทำลาย อย่างไรก็ดี หลังจากที่กองทัพนาซีบุกครองโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 ดินแดนส่วนตะวันตกของยูเครนที่เดิมอยู่ภายใต้โปแลนด์ได้ถูกผนวกรวมกับสหภาพโซเวียต

    หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

    หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กระแสชาตินิยมในยูเครนขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเหตุผลต่าง ๆ ได้แก่ ความไร้ประสิทธิภาพของระบบสหภาพโซเวียต ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วสหภาพโซเวียตและการพยายามปิดบังข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหภาพโซเวียตต่อกรณีการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชียร์โนบีล ที่ตั้งอยู่ในยูเครนในปี ค.ศ. 1986 และเมื่อประธานาธิบดีกอร์บาชอฟดำเนินนโยบายเปิดกว้างทางการเมือง ได้ส่งผลให้รัฐบาลของสหภาพโซเวียตจำเป็นต้องให้อำนาจแก่สาธารณรัฐและดินแดนปกครองตนเองต่าง ๆ มากขึ้น กระแสการเรียกร้องสิทธิที่จะปกครองตนเองในยูเครนดำเนินไปอย่างเข้มแข็ง

    การประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียต

    ในวันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 1990 ชาวยูเครนกว่า 300,000 คน[6] ได้มาเรียงแถวเป็นโซ่มนุษย์เพื่ออิสรภาพของยูเครนระหว่างเคียฟและลวิว เพื่อรำลึกถึงการรวมตัวกันของสาธารณรัฐประชาชนยูเครนและสาธารณรัฐยูเครนตะวันตกใน ค.ศ. 1919 ประชาชนออกมาที่ถนนและทางหลวงเรียงแถวเป็นโซ่มนุษย์ด้วยการจับมือกันเพื่อสนับสนุนความสามัคคี

    วันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1990 รัฐสภาชุดใหม่ได้รับรองคำประกาศอธิปไตยแห่งรัฐยูเครน[7] คำประกาศนี้กำหนดหลักการของการกำหนดตนเอง ประชาธิปไตย ความเป็นอิสระ และความสำคัญของกฎหมายยูเครนที่เหนือกฎหมายของสหภาพโซเวียต ซึ่งหนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น รัฐสภาของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียได้ประกาศใช้คำประกาศในลักษณะเดียวกันนี้ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเผชิญหน้ากับทางการโซเวียต ในวันที่ 2-17 ตุลาคม ค.ศ. 1990 ได้เกิดเหตุการณ์การปฏิวัติที่หินแกรนิตในยูเครน วัตถุประสงค์หลักของการดำเนินการคือเพื่อป้องกันการลงนามในสนธิสัญญาสหภาพใหม่ของสหภาพโซเวียต ความต้องการของนักเรียนพึงพอใจด้วยการลงนามในมติของแวร์คอว์นาราดา (รัฐสภายูเครน) ซึ่งรับประกันการดำเนินการของพวกเขา[8]

    ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1991 มึความพยายามของคนกลุ่มหนึ่งในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตที่จะทำการก่อรัฐประหารเพื่อถอดมีฮาอิล กอร์บาชอฟให้ออกจากตำแหน่งและฟื้นฟูอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากความพยายามก่อรัฐประหารที่ล้มเหลว วันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1991 รัฐสภายูเครนได้รับรองรัฐบัญญัติประกาศอิสรภาพยูเครน[9]

     
    แลออนิด เกราชุก ประธานาธิบดียูเครน (คนที่สองจากที่นั่งซ้าย) Stanislav Shushkevich ประธานสภาสูงสุดแห่งสาธารณรัฐเบลารุส (คนที่สามจากที่นั่งซ้าย) และ บอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีรัสเซีย (คนที่สองจากที่นั่งขวา) ลงนามในข้อตกลงเบลาเวจา ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1991

    การลงประชามติและการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ค.ศ. 1991 ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากกว่า 92%[10] แสดงการสนับสนุนรัฐบัญญัติประกาศอิสรภาพ และเลือกแลออนิด เกราชุก ประธานรัฐสภาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของยูเครน ในการประชุมที่เมืองเบรสต์ ประเทศเบลารุสเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ตามด้วยการประชุมที่อัลมา-อาตา เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม ผู้นำเบลารุส รัสเซีย และยูเครนได้ยุบสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการและก่อตั้งเครือรัฐเอกราช (CIS)[11] และในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 1991 สภาสาธารณรัฐแห่งสภาโซเวียตสูงสุดแห่งสหภาพโซเวียตได้รับรองคำประกาศ "เกี่ยวกับการก่อตั้งเครือรัฐเอกราช" (รัสเซีย: В связи с созданием Содружества Независимых Государств) ซึ่งยุบสหภาพโซเวียตโดยนิตินัยและในคืนวันนั้นธงชาติสหภาพโซเวียตได้ถูกเชิญลงจากยอดเสาที่เครมลิน[12] รัฐสภายูเครนไม่ได้ให้สัตยาบันภาคยานุวัติ ซึ่งกล่าวคือ ยูเครนไม่เคยเป็นสมาชิกของเครือรัฐเอกราช[13]

    เดิมที่ยูเครนถูกมองว่ามีภาวะเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวยเมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ ของสหภาพโซเวียต[14] อย่างไรก็ตาม ยูเครนประสบปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่มากกว่าประเทศอื่น ๆ ในอดีตสหภาพโซเวียต ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ยูเครนสูญเสียจีดีพีถึง 60% ตั้งแต่ ค.ศ. 1991 ถึง ค.ศ. 1999[15][16] และมีอัตราเงินเฟ้อถึง 5 หลัก[17] ความไม่พอใจกับสภาพเศรษฐกิจเช่นเดียวกับจำนวนอาชญากรรมและการทุจริตในยูเครนที่มากขึ้น ชาวยูเครนจึงประท้วงและนัดหยุดงาน[18]

    เศรษฐกิจยูเครนมีเสถียรภาพในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1990 มีการประกาศใช้สกุลเงินฮรึวญาซึ่งเป็นสกุลเงินใหม่ โดยถูกนำมาใช้ใน ค.ศ. 1996 หลัง ค.ศ. 2000 ยูเครนมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริงอย่างต่อเนื่องโดยเฉลี่ยประมาณเจ็ดเปอร์เซ็นต์ต่อปี[19][20] รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของยูเครนได้รับการรับรองภายใต้การนำของแลออนิด กุชมา ประธานาธิบดีคนที่สองใน ค.ศ. 1996 ซึ่งเปลี่ยนยูเครนให้เป็นสาธารณรัฐกึ่งประธานาธิบดีและก่อตั้งระบบการเมืองที่มั่นคง อย่างไรก็ตาม กุชมาถูกฝ่ายตรงข้ามวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการทุจริต การโกงเลือกตั้ง ซึ่งทำให้หมดกำลังใจในการพูด และการเพ่งความสนใจไปที่การใช้อำนาจที่มากเกินไปในตำแหน่งของเขา[21] ยูเครนยังดำเนินการปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างเต็มรูปแบบ โดยสละคลังอาวุธนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และรื้อถอนหรือถอดเครื่องบินทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ทั้งหมดในอาณาเขตของตนเพื่อแลกกับการรับรองต่าง ๆ[22]

    การปฏิวัติส้ม
    ดูบทความหลักที่: การปฏิวัติส้ม
     
    ผู้ประท้วงที่จัตุรัสอิสรภาพในวันแรกของการปฏิวัติส้ม

    ใน ค.ศ. 2004 วิกตอร์ ยานูกอวึช ซึ่งในขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งถูกควบคุมโดยส่วนใหญ่ตามคำตัดสินของศาลฎีกายูเครน[23] ผลการเลือกตั้งทำให้เกิดเสียงไม่พอใจของประชาชนที่สนับสนุนวิกตอร์ ยุชแชนกอ ผู้สมัครฝ่ายค้านซึ่งคัดค้านผลการเลือกตั้ง ในช่วงหลายเดือนแห่งการปฏิวัติที่วุ่นวาย ผู้สมัครยุชแชนกอก็ป่วยหนัก และในเวลาไม่นาน กลุ่มแพทย์อิสระหลายกลุ่มพบว่าเขาได้รับพิษจากสารทีซีดีดีไดออกซิน[24][25] ยุชแชนกอสงสัยอย่างยิ่งว่ารัสเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษของเขา[26] ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดการปฏิวัติส้มที่สงบ และนำวิกตอร์ ยุชแชนกอ และยูลียา ตือมอแชนกอ ขึ้นสู่อำนาจ ในขณะที่วิกตอร์ ยานูกอวึช เป็นฝ่ายค้าน[27]

     
    ยูลียา ตือมอแชนกอ (ขวา), อังเกลา แมร์เคิล และ มีเคอิล ซาคัชวีลี

    นักเคลื่อนไหวของการปฏิวัติส้มได้รับทุนและการฝึกอบรมเกี่ยวกับยุทธวิธีขององค์กรทางการเมืองและการต่อต้านอย่างสันติโดยผู้สำรวจความคิดเห็นจากตะวันตกและที่ปรึกษามืออาชีพซึ่งได้รับทุนบางส่วนจากรัฐบาลตะวันตก[โปรดขยายความ] และหน่วยงานที่ไม่ใช่ภาครัฐ[ใคร?] แต่ได้รับเงินทุนส่วนใหญ่จากแหล่งในประเทศ[28] ตามรายงานของ เดอะการ์เดียน ผู้บริจาคจากต่างประเทศมีได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ และ หน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ ร่วมกับสถาบันประชาธิปไตยแห่งชาติ, สถาบันรีพับลิกันอินเตอร์เนชันเนล, องค์การฟรีดอมเฮาส์ และมูลนิธิ Open Society Foundations ของจอร์จ โซรอส[29] กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยได้สนับสนุนความพยายามในการสร้างประชาธิปไตยในยูเครนตั้งแต่ ค.ศ. 1988[30] งานเขียนเกี่ยวกับการต่อสู้อย่างสันติโดยจีน ชาร์ป มีส่วนในการสร้างพื้นฐานเชิงกลยุทธ์ของการรณรงค์ของนักเรียน[31]

    ทางการรัสเซียให้การสนับสนุนผ่านที่ปรึกษาเช่นเกล็บ ปัฟลอฟสกี ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการทำให้ภาพลักษณ์ของยุชแชนกอมืดมนผ่านสื่อของรัฐ รวมถึงกดดันให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ขึ้นกับรัฐลงคะแนนเสียงให้ยานูกอวึชและเทคนิคการลงคะแนนเสียงเช่นการลงคะแนนเสียงแบบ "แคโรเซลโหวตอิงค์" หลายครั้งและการลงคะแนนเสียง "วิญญาณที่ตายแล้ว"[28]

    ยานูกอวึชกลับมาสู่อำนาจอีกครั้งใน ค.ศ. 2006 ในฐานะนายกรัฐมนตรีในกลุ่มพันธมิตรแห่งเอกภาพแห่งชาติ[32] จนกระทั่งการเลือกตั้งอย่างฉับพลันในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 ได้ทำให้ตือมอแชนกอเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง[33] ท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเงินของยูเครนใน ค.ศ. 2008–09 เศรษฐกิจของยูเครนลดลง 15%[34] ข้อพิพาทกับรัสเซียทำให้การจ่ายก๊าซทั้งหมดไปยังยูเครนหยุดชะงักไปชั่วคราวใน ค.ศ. 2006 และอีกครั้งใน ค.ศ. 2009 ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนก๊าซในประเทศอื่น ๆ[35][36] วิกตอร์ ยานูกอวึชได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2010 ด้วยคะแนนเสียงร้อยละ 48[37]

    ยูโรไมดานและการปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี
    ดูบทความหลักที่: ยูโรไมดาน และ การปฏิวัติแห่งศักดิ์ศรี
    ข้อมูลเพิ่มเติม: เส้นเวลาของยูโรไมดาน
     
    การเดินขบวนของฝ่ายสนับสนุนสหภาพยุโรปในวันที่ 27 พฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ในช่วงการประท้วงยูโรไมดาน

    การประท้วงยูโรไมดาน (ยูเครน: Євромайдан ความหมายตามอักษร "จัตุรัสยูโร") เริ่มต้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 หลังจากที่ประธานาธิบดีวิกตอร์ ยานูกอวึช ตัดสินใจระงับความตกลงสมาคมระหว่างยูเครนกับสหภาพยุโรปและแสวงหาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับรัสเซีย[38][39][40] ชาวยูเครนบางส่วนออกไปตามท้องถนนเพื่อแสดงการสนับสนุนสำหรับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับยุโรป[41]

    ในขณะเดียวกัน ทางตะวันออกของประเทศที่ประชากรพูดภาษารัสเซียเป็นส่วนใหญ่ ประชากรส่วนใหญ่ต่อต้านการประท้วง ยูโรไมดาน แทนที่จะสนับสนุนรัฐบาลยานูกอวึช[42] เมื่อเวลาผ่านไป ยูโรไมดาน ได้อธิบายถึงกระแสของการประท้วงและความไม่สงบในยูเครน[43] ขอบเขตของการพัฒนาที่รวมถึงการเรียกร้องให้ประธานาธิบดียานูกอวึชและรัฐบาลของเขาลาออก[44]

    ความรุนแรงเพิ่มขึ้นหลังจากวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 2014 เมื่อรัฐบาลยอมรับกฎหมายต่อต้านการประท้วงฉบับใหม่ ผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่มีความรุนแรงเข้ายึดอาคารในใจกลางกรุงเคียฟ รวมถึงอาคารกระทรวงยุติธรรม และการจลาจลทำให้มีผู้เสียชีวิต 98 ราย บาดเจ็บประมาณ 15,000 คน และสูญหายประมาณ 100 ราย[45][46][47][48] ตั้งแต่วันที่ 18 ถึงวันที่ 20 กุมภาพันธ์[49][50] และในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ประธานาธิบดียานูกอวึชได้ลงนามในข้อตกลงประนีประนอมกับผู้นำฝ่ายค้านที่สัญญาว่าจะเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเพื่อฟื้นฟูอำนาจบางอย่างให้รัฐสภาและเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งในช่วงต้นเดือนธันวาคม[51]

    อย่างไรก็ตาม สมาชิกรัฐสภายูเครนลงมติเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ให้ถอดถอนประธานาธิบดีและกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 25 พฤษภาคม เพื่อเลือกประธานาธิบดีคนใหม่[52] การขับไล่ยานูกอวึช[53] ทำให้วลาดีมีร์ ปูติน เริ่มเตรียมการผนวกไครเมียในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014[54][55] แปตรอ ปอรอแชนกอ ผู้ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนสหภาพยุโรป ชนะด้วยคะแนนเสียงมากกว่าร้อยละ 50 จึงทำให้ไม่จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งรอบที่สอง[56][57][58] ในระหว่างการเลือกตั้งของเขา ปอรอแชนกอประกาศว่าลำดับความสำคัญในทันทีของเขาคือการดำเนินการกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคตะวันออกของยูเครนและการแก้ไขความสัมพันธ์กับรัสเซีย[56][57][58]

    ปอรอแชนกอเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ตามที่โฆษกหญิงของเขา Irina Friz ประกาศก่อนหน้านี้ พิธีเข้ารับตำแหน่งจะเป็นพิธีที่ไม่สำคัญโดยและไม่มีการเฉลิมฉลองที่จัตุรัสอิสรภาพในกรุงเคียฟ (ศูนย์กลางของการประท้วง ยูโรไมดาน[59]) สำหรับพิธี[60][61] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 มีการจัดการเลือกตั้งรัฐสภา กลุ่ม "โซลิดาริตี" ของปอรอแชนกอ ได้ที่นั่งไป 132 ที่นั่งจากทั้งหมด 423 ที่นั่ง[62]

    การแทรกแซงของรัสเซียในลูฮันสก์และดอแนตสก์และการบุกครองไครเมีย
    ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้
    การบุกครองโดยรัสเซีย ค.ศ. 2022
    ดูบทความหลักที่: วิกฤตการณ์รัสเซีย–ยูเครน (พ.ศ. 2564–2565) และ การบุกครองยูเครน พ.ศ. 2565

    ในฤดูใบไม้ผลิของ ค.ศ. 2021 รัสเซียเริ่มระดมกองกำลังไปประจำการตามแนวชายแดนยูเครน-รัสเซีย[63][64] เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 วลาดีมีร์ ปูติน ได้สั่งให้กองกำลังรัสเซียเคลื่อนเข้าไปยังสาธารณรัฐดอแนตสก์และลูฮันสก์ของยูเครนที่แยกตัวออกมาจากประเทศแม่ โดยเรียกกองกำลังเหล่านี้ว่า "กองกำลังรักษาสันติภาพ" ปูตินยังได้รับรองอย่างเป็นทางการว่า อดีตพื้นที่ของยูเครนเหล่านี้ได้กลายเป็นรัฐอธิปไตยและเป็นอิสระจากรัฐบาลยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ[65]

    มกราคม ค.ศ. 2023

    ประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะส่งเครื่องบินรบ F-16 ไปยังยูเครน แม้ว่าเจ้าหน้าที่ยูเครนจะเรียกร้องการสนับสนุนทางอากาศอีกครั้งก็ตามนักข่าวถามเมื่อวันจันทร์ว่าสหรัฐฯ จะจัดหาเครื่องบินให้หรือไม่ นายไบเดนตอบเพียงว่า "ไม่" ความคิดเห็นของเขามีขึ้นหนึ่งวันหลังจากผู้นำเยอรมนีสั่งห้ามส่งเครื่องบินขับไล่ ยูเครนได้กล่าวว่าต้องการเครื่องบินไอพ่นเพื่อควบคุมน่านฟ้าของตนในสงครามที่กำลังดำเนินอยู่กับรัสเซีย

    F-16 Fighting Falcons ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในเครื่องบินขับไล่ที่เชื่อถือได้มากที่สุดในโลก และถูกใช้โดยประเทศอื่นๆ เช่น เบลเยียมและปากีสถานสิ่งเหล่านี้จะเป็นการอัพเกรดที่สำคัญสำหรับเครื่องบินขับไล่ในยุคโซเวียตที่ยูเครนใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งผลิตขึ้นก่อนที่ประเทศจะประกาศเอกราชจากสหภาพโซเวียตเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว

    อย่างไรก็ตาม นายไบเดนปฏิเสธคำร้องขอของยูเครนหลายครั้งต่อเครื่องบินไอพ่นลำนี้ โดยเน้นไปที่การให้การสนับสนุนทางทหารในด้านอื่นๆ แทนสหรัฐฯ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะจัดหารถถัง Abrams 31 คันให้กับ Kyiv โดยที่อังกฤษและเยอรมนีก็ให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนในลักษณะเดียวกัน

    Andrii Melnyk รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครนยินดีกับการประกาศดังกล่าว แต่ได้ขอให้พันธมิตรจัดตั้ง "กลุ่มพันธมิตรเครื่องบินขับไล่" ที่จะจัดหาเครื่องบินขับไล่ Eurofighters, Tornados, Rafales ของฝรั่งเศส และ Gripen ของสวีเดนให้กับยูเครน

    "The Famine of 1920–1924". The Norka – a German Colony in Russia. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 March 2015. สืบค้นเมื่อ 4 March 2015. "Famine of 1921–3". Encyclopedia of Ukraine. สืบค้นเมื่อ 3 March 2015. Subtelny, p. 380 "Ukraine remembers famine horror". BBC News. 24 November 2007. Stephen G. Wheatcroft, "Agency and Terror: Yevdokimov and Mass Killing in Stalin's Great Terror." Australian Journal of Politics and History 2007 53 (1) : 20–43. ISSN 0004-9522 Fulltext in Ebsco; Robert Conquest, The Harvest of Sorrow: Soviet collectivization and the terror-famine (1986). Mark B. Tauger, "The 1932 Harvest and the Famine of 1933" Slavic Review, Vol. 50, No. 1 (Spring, 1991), pp. 70–89, notes the harvest was unusually poor. online in JSTOR; R. W. Davies, Mark B. Tauger, S. G. Wheatcroft, "Stalin, Grain Stocks and the Famine of 1932–1933," Slavic Review, Vol. 54, No. 3 (Autumn, 1995), pp. 642–657 online in JSTOR; Michael Ellman. "Stalin and the Soviet famine of 1932–33 Revisited", Europe-Asia Studies, Volume 59, Issue 4 June 2007, pages 663–693. Subtelny, Orest (2000). Ukraine: A History. University of Toronto Press. p. 576. ISBN 0-8020-8390-0. "Declaration of State Sovereignty of Ukraine". Verkhovna Rada of Ukraine. 16 July 1990. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 September 2007. สืบค้นเมื่อ 12 September 2007. "Про розгляд вимог студентів, які проводять голодування … | від 17 October 1990 № 402-XII". "Verkhovna Rada of Ukraine Resolution On Declaration of Independence of Ukraine". Verkhovna Rada of Ukraine. 24 August 1991. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2007. สืบค้นเมื่อ 12 September 2007. Nohlen & Stöver, p1985 "Soviet Leaders Recall 'Inevitable' Breakup Of Soviet Union". RadioFreeEurope. 8 December 2006. สืบค้นเมื่อ 12 September 2007. Solodkov, A. (Период распада: последний декабрь Союза. 26 декабря 1991 года). RBC. 26 December 2016. ""Україні не потрібно виходити із СНД – вона ніколи не була і не є зараз членом цієї структури"". – Павло Клімкін Shen, p. 41 "Ukrainian GDP (PPP)". World Economic Outlook Database, October 2007. International Monetary Fund (IMF). สืบค้นเมื่อ 10 March 2008. "Can Ukraine Avert a Financial Meltdown?". World Bank. June 1998. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 July 2000. สืบค้นเมื่อ 16 December 2007. Figliuoli, Lorenzo; Lissovolik, Bogdan (31 August 2002). "The IMF and Ukraine: What Really Happened". International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 16 December 2007. Aslund, Anders; Aslund, Anders (Autumn 1995). "Eurasia Letter: Ukraine's Turnaround". Foreign Policy. 100 (100): 125–143. doi:10.2307/1149308. JSTOR 1149308. "Macroeconomic Indicators". National Bank of Ukraine. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 October 2007. "Ukraine. Country profile" (PDF). World Bank. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 7 June 2007. สืบค้นเมื่อ 16 December 2007. Wines, Michael (1 April 2002). "Leader's Party Seems to Slip In Ukraine". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 24 December 2007. "Ukraine – Country Profiles – NTI". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 August 2014. สืบค้นเมื่อ 2 August 2014. "The Supreme Court findings" (ภาษายูเครน). Supreme Court of Ukraine. 3 December 2004. สืบค้นเมื่อ 7 July 2008. "Yushchenko: 'Live And Carry On'". CBS News. 30 January 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2012. สืบค้นเมื่อ 17 April 2020. "Study: Dioxin that poisoned Yushchenko made in lab". Kyiv Post. London. Associated Press. 5 August 2009. สืบค้นเมื่อ 29 January 2022. "Yushchenko to Russia: Hand over witnesses". Kyiv Post. 28 October 2009. สืบค้นเมื่อ 11 February 2010. "Ukraine-Independent Ukraine". Encyclopædia Britannica (fee required). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 January 2008. สืบค้นเมื่อ 14 January 2008. ↑ 28.0 28.1 The Colour Revolutions in the Former Soviet Republics: Ukraine by Nathaniel Copsey, Routledge Contemporary Russia and Eastern Europe Series (page 30-44) US campaign behind the turmoil in Kiev, The Guardian (26 November 2004) Diuk, Nadia. "In Ukraine, Homegrown Freedom." Washington Post, 4 December 2004. URL Retrieved 12 September 2006 Russia, the US, "the Others" and the "101 Things to Do to Win a (Colour) Revolution": Reflections on Georgia and Ukraine by Abel Polese, Routledge (26 October 2011) Ukraine comeback kid in new deal, BBC News (4 August 2006) Tymoshenko picked for Ukraine PM, BBC News (18 December 2007) Roman Olearchyk (31 July 2013). "Lacklustre GDP data push Ukraine towards fresh IMF bailout". Financial Times. Kyiv. สืบค้นเมื่อ 3 March 2014. Russia shuts off gas to Ukraine, BBC News (1 January 2009) Q&A: Russia-Ukraine gas row, BBC News (20 January 2009) Ukraine election: Yanukovych urges Tymoshenko to quit, BBC News (10 February 2010) In its final report on the election, the Organisation for Security and Cooperation in Europe said that the election "met most requirements" for fairness and that the election process was "transparent.""Ukraine: Presidential Election 17 January and 7 February 2010: OSCE/ODIHR Election Observation Mission Final Report" (PDF). OSCE. Warsaw. 28 April 2010. สืบค้นเมื่อ 20 October 2015. "Q&A: Stand-off in Ukraine over EU agreement". BBC News. 17 December 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 December 2013. Balmforth, Richard (11 December 2013). "Kiev protesters gather, EU dangles aid promise". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 April 2014. สืบค้นเมื่อ 17 October 2018. Johnson, Juliet; Köstem, Seçkin (May 2016). "Frustrated Leadership: Russia's Economic Alternative to the West". Global Policy. 7 (2): 207–216. doi:10.1111/1758-5899.12301. hdl:11693/36455. In fact, the Ukrainian crisis broke out in November 2013 when former President Viktor Yanukovych announced under Russian pressure that he would no longer pursue an EU Association Agreement "Ukraine Radicals Steer Violence as Nationalist Zeal Grows". Bloomberg News. 11 February 2014. Lina Kushch (3 December 2013). "Donetsk view: Ukraine 'other half' resents Kiev protests". BBC News. "A Ukraine City Spins Beyond the Government's Reach". The New York Times. 15 February 2014. Richard Balmforth (12 December 2013). "Kiev protesters gather, EU dangles aid promise". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 20 April 2014. สืบค้นเมื่อ 20 October 2015. Независимое бюро новостей. "За добу в зіткненнях у Києві поранено 1,5 тисяч осіб, 100 зникли безвісти". nbnews.com.ua. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 February 2014. Інформація про постраждалих у сутичках: Прес-служба МОЗ України [Information about the victims of clashes: Press Service of the Ministry of Health of Ukraine] (ภาษายูเครน). moz.gov.ua. 22 February 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 July 2014. สืบค้นเมื่อ 25 September 2014. "МВС УКРАЇНИ". Міністерство внутрішніх справ України. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 24 September 2014. สืบค้นเมื่อ 25 September 2014. ""список загиблих під час кривавих подій в Києві" — tsn.ua". ТСН.ua. 21 February 2014. Shaun Walker (27 January 2014). "Ukraine threatens state of emergency after protesters occupy justice ministry". The Guardian. สืบค้นเมื่อ 12 May 2014. Krasnolutska, Daryna. "Ukraine clashes resume in Kiev as foreign mediation urged". Businessweek.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 July 2014. สืบค้นเมื่อ 12 May 2014. "Opposition leaders sign deal with president to end crisis in Ukraine". Fox News Channel. 21 February 2014. สืบค้นเมื่อ 19 November 2017. Keating, Dave (25 February 2014). "Ukraine sets date for presidential election". Europeanvoice.com. สืบค้นเมื่อ 12 May 2014. Ukrainian MPs vote to oust President Yanukovych bbc.co.uk, 22 February 2014, accessed 1 January 2016 "Vladimir Putin describes secret meeting when Russia decided to seize Crimea". The Guardian. Agence France-Presse. 9 March 2015. สืบค้นเมื่อ 20 October 2015. "Putin reveals the moment he gave the secret order for Russia's annexation of Crimea". telegraph.co.uk. 9 March 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 March 2015. สืบค้นเมื่อ 20 October 2015. ↑ 56.0 56.1 The New York Times, "Dozens of Separatists Killed in Ukraine Army Attack", By SABRINA TAVERNISE and ANDREW ROTH, 27 May 2014 ↑ 57.0 57.1 David M. Herszenhorn (24 May 2014). "Election of President Seen as a Beginning to Repairing Ukraine". NYT. สืบค้นเมื่อ 12 January 2015. ↑ 58.0 58.1 RTVi, News-script for Broadcast of 25 May 2014, Ekaterina Andreeff. Adam Taylor (28 January 2014). "Why Ukraine Is So Important". Business Insider. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 February 2014. สืบค้นเมื่อ 29 May 2014. Lukas Alpert (29 May 2014). "Petro Poroshenko to Be Inaugurated as Ukraine President June 7". The Wall Street Journal. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 May 2014. สืบค้นเมื่อ 29 May 2014. "Rada decides to hold inauguration of Poroshenko on June 7 at 1000". Interfax-Ukraine. 3 June 2014. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 June 2014. สืบค้นเมื่อ 20 October 2015. David M. Herszenhorn (27 October 2014). "Ukrainian Voters Affirm Embrace of Europe and Reject Far Right; Arseniy Yatsenyuk and Petro Poroshenko Solidify Stances". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 16 April 2015. Holland, Steve; Shalal, Andrea; Landay, Jonathan (8 April 2021). Paul, Franklin; Dunham, Will (บ.ก.). "Russian force on Ukraine border larger than any time since 2014, U.S. says". Reuters (ภาษาอังกฤษ). File photo by Kevin Lamarque. Washington D.C.: Thomson Corporation. สืบค้นเมื่อ 2022-02-08. Kramer, Andrew E. (9 April 2021). "Russian Troop Movements and Talk of Intervention Cause Jitters in Ukraine". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). Article updated 30 April 2021. Moscow. ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2022-02-08. Russia has amassed more troops on the Ukrainian border than at any time since 2014. https://news.google.com/articles/CCAiC0pwRFp4Y0pzQVRnmAEB?hl=en-US&gl=US&ceid=US%3Aen
    Read less

Phrasebook

สวัสดี
Привіт
โลก
світ
สวัสดีชาวโลก
Привіт Світ
ขอขอบคุณ
Дякую
ลาก่อน
до побачення
ใช่
Так
ไม่
Ні
คุณเป็นอย่างไรบ้าง
Як ти?
สบายดีขอบคุณ
Добре, дякую
ราคาเท่าไหร่?
Скільки це коштує?
ศูนย์
Нуль
หนึ่ง
Один

Where can you sleep near ประเทศยูเครน ?

Booking.com
487.355 visits in total, 9.187 Points of interest, 404 Destinations, 40 visits today.